สงครามดิจิทัลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือดเข้มข้น เมื่อบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่หลายรายยังคงแสวงหา เครื่องไม้เครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนไปในยุคที่ Digital เข้ามา disrupt ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้
สมาร์ทโฮม
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจ โดยเฉพาะความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่การซื้อขายไปจนถึงการอยู่อาศัย ผ่านระบบออนไลน์ พร็อพเทค รวมไปถึงการสรรหาสตาร์ทอัพ ที่นำเสนอไอเดียผสมผสาน เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย
ในปีนี้ภาพต่างๆ จะชัดเจนแจ่มชัดยิ่งขึ้น และถือเป็นจุดขายที่ทุกบริษัทต้องโฟกัส เพราะแค่เพียงต้นปี บิ๊กเนมแต่ละค่ายต่างก็พาเหรดออกมาอัพเดตเทคโนโลยีใหม่ๆ กันแล้วหลายราย
คณะผู้บริหารสิริเวนเจอร์ส
สิริเวนเจอร์สทุ่ม 1,500 ล้าน ลงทุนสตาร์ตอัพ
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้วางแผนระยะยาวด้วยงบลงทุน 1,500 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี (2561-2563) ครอบคลุมทั้งส่วนงานการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก ผ่านบริษัท สิริ เวนเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท แสนสิริ กับธนาคารไทยพาณิชย์
จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้จะเห็นบริษัทพัฒนาที่ดินนำเอาเทคโนโลยี่ในด้านต่างๆ เข้ามาใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ถือเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องเรียนรู้และปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้
สำหรับในปีนี้ สิริ เวนเจอร์สจะรุกลงทุนในสตาร์ทอัพโดยเน้นนวัตกรรม 4 ด้านที่สอดคล้องกับธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ ได้แก่ PropTech -นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ หรือ Know-how ใหม่ๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น
LivingTech – นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย ความบันเทิง ความปลอดภัย และยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ผ่านสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้ว เช่น Appysphere สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในเรื่องซอฟต์แวร์การพัฒนา Home Automation, Onionshack สตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนา Thai Voice AI, Techmatics สตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดีที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว
Health & Wellness Tech – นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน ซึ่งรวมไปถึงนวัตกรรมด้านอาหาร (FoodTech) ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นไปได้อย่างสมดุล โดยในปีนี้ สิริ เวนเจอร์สยังมีแผนลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทางด้าน Health Monitoring สำหรับสังคมสูงวัยที่มีจะบทบาทสำคัญในสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย
Construction Tech – นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อให้โครงการของแสนสิริตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล และลดต้นทุนโดยรวม โดยการนำ AR (Augmented Reality) ร่วมกับ BIM (Building Information Management) เข้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง
ที่ผ่านมา สิริ เวนเจอร์สรุกลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Farmshelf สตาร์ทอัพด้าน LivingTech จากสหรัฐอเมริกาที่กำลังมาแรง และล่าสุดยังได้ร่วมมือกับ Innovation Platform ระดับโลก 2 ราย คือ “Plug and Play” จากซิลิคอน วัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสิริ เวนเจอร์สให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเกี่ยวเนื่องได้เร็วและมากขึ้น
ศุภรัชฎ์ วีระกุล
แลนด์ฯ ชู 4 เทคโนโลยีใหม่บริการลูกค้า
ขณะที่บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ก็ขยับตัวในเรื่องของเทคโนโลยีสำหรับการซื้อขายและการอยู่อาศัยด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เน้นไปที่ออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง โดยมีลูกค้าผ่านทางออนไลน์อยู่ที่ประมาณ 40% รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในบ้าน เช่น AirPlus ที่ช่วยให้อากาศไหลเวียนตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ในปีนี้ แลนด์ มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขาย ตกแต่งบ้าน และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในบ้านด้วยระบบดิจิทัล
ศุภรัชฎ์ วีระกุล ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุมในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพิ่มสะดวกสำหรับลูกค้าทั้งในเรื่องของการให้ข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น และปลอดภัย ประกอบด้วย
1. Application i-Design แอพพลิเคชั่นที่ช่วยในการออกแบบตกแต่งภายในแต่ละห้องของบ้านโดยลูกค้าสามารถเลือกตกแต่งสร้างสรรได้เอง ทั้งเพิ่มหรือเลือกแบบเฟอร์นิเจอร์ เปลี่ยนสีพื้น ผนัง บน Smart Device พร้อมทั้งทราบงบประมาณการตกแต่งโดยคร่าวๆ และสามารถเดินเข้าไปในห้องที่ตกแต่งเองได้ด้วยเทคโนโลยี VR (Virtual Reality)
2.Smart Catalog พัฒนาการใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ผสาน VIDEO 3 มิติพร้อมเสียงบรรยาย ซึ่งลูกค้าสามารถมองผ่าน Smart Catalog ผ่านทาง Tablet หรือ Smart Phone แผ่น Smart Catalog จะให้ข้อมูลทั้ง Concept การออกแบบและ Function พิเศษต่างๆ ของแบบบ้านแต่ละแบบ สามารถนำกลับไปพิจารณาร่วมกับสมาชิกในครอบครัวได้
3.PRO License Plate เทคโนโลยีกล้องสแกนป้ายทะเบียนรถ Visitor ทุกคันที่เข้า-ออก โครงการ สามารถตรวจสอบวัน เวลา และสถานที่ปลายทาง ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
4.Face Detection ระบบกล้องตรวจจับใบหน้า ใช้สำหรับคนงาน ที่เข้า-ออกภายในโครงการ โดยระบบสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมตรวจสอบบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ลง ทะเบียนเป็นคนงาน ทำให้ลูกบ้านมั่นใจได้ ถึงความปลอดภัยภายในโครงการ
ดิจิทัล พฤกษา
พฤกษา รุกหนัก Digital Marketing
ทางด้าน บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ก็ประกาศตัวจะรุกสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบเช่นเดียวกัน โดย สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง กล่าวว่า ในปีนี้ได้มุ่งเน้นศึกษาเรื่องเมกะเทรนด์ของตลาด โดยอีก 5 ปีข้างหน้ามูลค่าตลาด Smart Home จะเติบโตเพิ่มสูงขึ้น 13.65% บริษัท จึงนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มคุณภาพและบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในวันนี้และอนาคต
สำหรับเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาใช้ เช่น การเยี่ยมชมโครงการใหม่ผ่านระบบ VR รวมถึงการสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านผ่านระบบ AI เป็นต้น รวมถึงพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อรองรับสำหรับสังคมสูงวัย นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ใช้แผนกลยุทธ์การตลาดแบบ Digital Marketing เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ส่งผลให้เว็บไซต์พฤกษามียอดผู้เข้าชมสูงสุด และก้าวขึ้นมาเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยปีที่ผ่านมามียอดขายที่มาจากสื่อดิจิทัล 16,101 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 98%
ในปีนี้คงจะได้เห็นการนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของบริษัทอีกหลายบริษัท มาเป็นจุดขาย สร้างความสะดวกสบายในด้านต่างๆ ให้กับลูกค้า ในยุคที่ไม่ดิจิทัลไม่ได้แล้ว