สาวก แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ห้ามพลาด เปิด 18 ทำเลบ้าน-คอนโดใหม่ ปี 2561 มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท รับเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
หลังจากประคองตัว ระมัดระวังกับการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย แต่ในปี 2561 บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประกาศตัวเดินหน้าขยายตลาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาช่วง 2-3 ปีหลัง
นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มดีขึ้นมาตั้งแต่ไตรามาส 3 ปีที่แล้ว แต่ภาพรวมของปี 2560 ยอดจดทะเบียนบ้านก็ยังติดลบ 14% โดยที่คอนโดมิเนียมติดลบถึง 19%
ในปี 2561 ประเมินกันว่า เศรษฐกิจจะโตประมาณ 4% โดยมีปัจจัยมาจาก การส่งออกที่เพิ่มขึ้น การลงทุนภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เริ่มเห็นผล และทำให้การลงทุนภาคเอกชนเริ่มขยับตัวตาม การท่องเที่ยวยังดีต่อเนื่อง ปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 และจะต่อเนื่องมาในปี 2561 ซึ่งจะเห็นได้จาก การลงทุนในตลาดหุ้นยังคึกคัก
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้น 0.25-0.5% แต่เชื่อว่ายังไม่กระทบกับผู้บริโภค เพราะธนาคารยังเสนอเงื่อนไขดอกเบี้ยที่ดี ขณะที่ราคาที่ดิน และต้นทุนก่อสร้าง จะปรับสูงขึ้น ส่งผลให้มีการปรับราคาบ้านขึ้นบ้าง ในบางทำเล
"คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2561 ยอดจดทะเบียนบ้านน่าจะกลับมาโตได้ 5-8% จากปีที่แล้วมียอดจดทะเบียนรวมประมาณ 9 หมื่นหน่วย โดยในปีนี้ การแข่งขันตลาดในประเทศก็จะยังคงเหมือนเดิม จะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น แต่ต้องดูที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคจริงๆ" นพร กล่าว
สำหรับ การเปิดโครงการใหม่ของ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ถือว่าเดินหน้าเต็มตัว ทั้งแนวราบ แนวสูง โดยจะมีโครงการใหม่รวม 18 โครงการ มูลค่ารวมทั้งหมด 36,300 ล้านบาท แบ่งแยกเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 16 โครงการ และต่างจังหวัด 2 โครงการ เป็น บ้านเดี่ยว 14 โครงการ (นับรวมบ้านแฝด) ทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการ (ในโครงการที่ Mix นับแยกออกตามประเภทสินค้า มีการนับซ้ำโครงการ) และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ
ขณะที่ ปี 2560 เปิดโครงการใหม่ ไปเพียง 10 โครงการ มูลค่า 10,800 ล้านบาท เท่ากับว่า ในปีนี้จำนวนโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยมีโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม กลับคืนสู่ตลาดอีกครั้ง โดยเฉพาะในระดับราคา 2-4 ล้านบาท
โครงการที่อยู่ในแผนเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 4 โครงการ ประเดิมด้วย โครงการ The Ease โครงการต่อเนื่องบนถนนพระราม 2 เปิดตัวในไตรมาส 1 จำนวน 329 ราคาเฉลี่ย 2.3 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 มีคอนโดอีก 2 โครงการ ได้แก่ The Room สุขุมวิท 38 จำนวน 229 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 14 ล้านบาท และ The Room พญาไท (ติดเจ้าพระยาอาบอบนวด) จำนวน 437 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 8.9 ล้านบาท ส่งท้ายปลายปีไตรมาส 4 มีคอนโดอีก 1 โครงการ The Key เพชรเกษม จำนวน 621 ยูนิต ราคา 3.5 ล้านบาท
ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบที่จะเริ่มเปิดโครงการในไตรมาส 2 ได้แก่ โครงการ Villaggio สันทราย เชียงใหม่ มีทั้งบ้านเดี่ยว จำนวน 72 หลัง ราคาขายเฉลี่ย 5.6 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 174 หลัง ราคาขายเฉลี่ย 2.4 ล้านบาท โครงการ Villaggio เกาะเรียน อยุธยา มีบ้านเดี่ยว 116 หลัง ราคาเฉลี่ย 3.7 ล้านบาท บ้านแฝด 106 หลัง ราคาเฉลี่ย 3.4 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 109 หลัง ราคาเฉลี่ย 2.3 ล้านบาท
โครงการมัณฑนา อ่อนนุช วงแหวน (5) เป็น บ้านเดี่ยว 313 หลัง ราคาเฉลี่ย 10.1 ล้านบาท โครงการ Villaggio บางนา เทพรักษ์ เป็น บ้านเดี่ยว 136 หลัง ราคาเฉลี่ย 6.2 ล้านบาท บ้านแฝด 206 หลัง ราคาเฉลี่ย 3.5 ล้านบาท โครงการ Indy 2 ศรีนครินทร์ เป็นทาวน์เฮ้าส์ 445 หลัง ราคาเฉลี่ย 3.4 ล้านบาท โครงการ Vive บางนา เป็น ทาวน์เฮ้าส์ 92 หลัง ราคาเฉลี่ย 8.5 ล้านบาท โครงการ มัณฑนา พุทธมณฑลสาย 2 บางแวก เป็นบ้านเดี่ยว 146 หลัง ราคาเฉลี่ย 16.4 ล้านบาท
ในไตรมาสที่ 3 เปิดตัว โครงการ Villaggio เพชรเกษม สาย 4 เป็นบ้านแฝด 146 หลัง ราคาเฉลี่ย 3.7 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 260 หลัง ราคาเฉลี่ย 2.4 ล้านบาท โครงการ Indy 4 บางนา กม. 7 เป็น ทาวน์เฮ้าส์ 122 หลัง ราคา 3.9 ล้านบาท โครงการ มัณฑนา 2 บางนา กม. 7 เป็นบ้านเดี่ยว 188 หลัง ราคาเฉลี่ย 12.8 ล้านบาท โครงการ มัณฑนา 3 เวสเกตต์ เป็น บ้านเดี่ยว 295 หลัง ราคาเฉลี่ย 14.9 ล้านบาท
ส่วนไตรมาส 4 มีแผนเปิดตัวโครงการ Villaggio รังสิต คลอง 2 เป็น บ้านเดี่ยว 161 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 6.5 ล้านบาท บ้านแฝด 338 หลัง ราคา 3.4 ล้านบาท โครงการ ชัยพฤกษ์ ทางด่วนรามอินทรา จตุโชติ เป็น บ้านเดี่ยว 470 หลัง ราคาเฉลี่ย 6.4 ล้านบาท และ โครงการ. Villaggio บางนา ศรีนครินทร์ เป็น บ้านเดี่ยว 126 หลัง ราคาเฉลี่ย 6.3 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 191 หลัง ราคาเฉลี่ย 2.9 ล้านบาท