ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่างทยอยประกาศแผนการลงทุนและเป้าหมายการดำเนินงานกันอย่างพร้อมหน้า ถึงวันนี้เหลือเพียงไม่กี่บริษัทรายใหญ่ที่ยังไม่ประกาศแผน แต่โดยรวมๆ แล้วก็พอเห็นภาพชัดว่าปีนี้การแข่งขันจะเป็นไปในทิศทางไหนและร้อนแรงแค่ไหน
Baania รวบรวมตัวเลขมูลค่าโครงการจากการลงทุนของ 12 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า มีมูลค่ารวมกันเกือบ 450,000 ล้านบาท เฉพาะ 2 รายใหญ่ พฤกษา และ แสนสิริ จะผลิตโครงการทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมรวมกันกว่า 100 โครงการ มูลค่าเกือบๆ 130,000 ล้านบาท ถ้าเป็นท็อปไฟว์มูลค่าโครงการที่จะลงทุนในปีนี้จะสูงถึง 250,000 ล้านบาท
แสดงถึงสถานการณ์การแข่งขันในปีนี้ที่บอกได้เลยว่า ดุเดือดเกินพิกัดแน่นอน
ขณะเดียวกัน การช่วงชิงที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อผู้ประกอบการทั้ง 12 รายต่างทุ่มงบสำหรับการลงทุนซื้อที่ดินรวมกัน 105,300 ล้านบาท โดย พฤกษา โฮลดิ้ง ใช้งบมากสุด 16,000 ล้านบาท ตามติดด้วย แสนสิริ 15,000 ล้านบาท นอกจาก 2 ใหญ่ที่งบรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาทแล้ว ยังมีอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ออริจิ้น พร็อเพอร์ตี้ และเอสซี แอสเสท ที่ใช้เงินซื้อที่ดินเกิน 10,000 ล้านบาท
บริษัทที่ใช้งบในการซื้อที่ดิน 12 บริษัทที่รวบรวมมาประกอบด้วย พฤกษา โฮลดิ้ง 16,000 ล้านบาท แสนสิริ 15,000 ล้านบาท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ 11,000 ล้านบาท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น บริษัทละ 10,000 ล้านบาท ศุภาลัย 9,000 ล้านบาท เอพี ไทยแลนด์ 8,500 ล้านบาท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ 7,800 ล้านบาท แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ 7,000 ล้านบาท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ 6,000 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 4,000 ล้านบาท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ 1,000 ล้านบาท
ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่หลายบริษัทที่มีทุนต่างชาติเข้ามาแบ็คอัพ สามารถใช้เงินซื้อที่ดินแปลงใหญ่ขึ้น และแข่งขันกันซื้อที่ดินในทำเลที่ต้องการ บริษัทจึงต้องเพิ่มงบในการซื้อที่ดินจากปีที่แล้วใช้ 1,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท
สำหรับที่ดินที่เป็นที่หมายตาของเหล่าดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่คงหนีไม่พ้นที่ดินในเมือง โดยเฉพาะที่ดินในไพร์มแอเรีย เช่น สุขุมวิท เพลินจิต สาทร เป็นต้น ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันที่ดินที่ซื้อขายแพงที่สุดคือที่ดินสถานทูตอังกฤษที่กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับบริษัทฮ่องกงแลนด์ ลงขันกันซื้อที่ดินเนื้อที่ 23 ไร่ไปตารางวาละกว่า 2 ล้านบาท ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีที่ดินอีกหลายแปลงที่มีข่าวการซื้อขายในราคาที่แพงกว่าที่ดินสถานทูตอังกฤษ เช่น ที่ดินบริเวณหัวมุมถนนทองหล่อที่กลุ่มแม็กโนเลียซื้อมาในราคาตารางวาละ 2.6 ล้านบาท หรือที่ดินย่านหลังสวนที่ บริษัท เอสซี แอสเสท ประมูลซื้อมาในตารางวาละ 3 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ราคาคอนโดฯเมืองจะวิ่งไปแตะตารางเมตรละ 5 แสนบาท ในไม่ช้าไม่นานนี้
นอกจากที่ดินในเมืองที่แย่งกันซื้อจนราคาพุ่งพรวดแล้ว การทุ่มซื้อที่ดินจะลามไปยังที่ดินนอกเมือง โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่กำลังก่อสร้าง เพื่อนำมาพัฒนาทาวน์โฮม บ้านที่เป็นทางเลือกแทนที่คอนโดฯในเมืองที่ราคาแพงขึ้นๆ และเป็นตลาดที่ปีนี้จะแข่งขันกันรุนแรงอีกตลาด และเป็นไปได้ว่า ทาวน์โฮมราคา 2 ล้านบาท กำลังจะกลายเป็นอดีตในอีกไม่ช้าไม่นานนี้แน่นอน