“แสนสิริ” กวาดยอดขายในงาน “แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” 3 วัน ทำได้ 9,000 ล้านบาท ดันยอดขายรวมล่าสุดพุ่ง 34,000 ล้านบาท คิดเป็น 85% ของเป้ายอดขายรวมทั้งปี 40,000 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2560 บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตที่โดดเด่น และเติบโตดีที่สุดของปีนี้ ทั้งในด้านยอดขาย (Presale) รายได้ และกำไร
โดยล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560) บริษัทมียอดขายรวมมูลค่ากว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 85% ของเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีที่ 40,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงวันที่ 24-26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้จัดแคมเปญและการจัดงานใหญ่ประจำปี แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017 (Sansiri Life Comes Home 2017) ซึ่งสามารถสร้างยอดขายภายในวันงานได้ 9,000 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ที่ 8,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการที่ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุด คือ โครงการ โอกะ เฮาส์ และโครงการ คาวะ เฮาส์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดการขายโครงการในตลาดต่างจังหวัด เช่น โครงการเดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่ มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท และโครงการ ดีคอนโด นครระยอง มูลค่าโครงการกว่า 830 ล้านบาท
“การจัดงานในช่วง 3 วันที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นผลจากการนำเสนอที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ของกลุ่มบริษัทที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจ ที่เข้าร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยใหม่ ทำให้มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมงานจำนวนมาก และประสบความสำเร็จด้านยอดขายสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายเศรษฐา กล่าว
นอกจากนี้ งานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ในปีนี้ ยังนับเป็นเวทีสำคัญในการตอกย้ำภาพลักษณ์ของบริษัทในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย จากการนำ 6 นวัตกรรมภายใต้ Siri LifeTech มาจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้งานเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม มุมกิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานจำนวนมาก ที่มาร่วมสัมผัสมิติใหม่ในการเติมเต็มทุกรูปแบบการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) จาก 6 นวัตกรรมของบริษัท เพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ เช่น SAN:DEE Delivery Bot หรือแสนดี หุ่นยนต์ไฮเทคส่งของถึงหน้าห้องพัก รวมถึง Smart Move แพลตฟอร์มบริการให้เช่ารถยนต์ในโครงการ และ Samitivej @ HOME นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพในที่พักอาศัยภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช เป็นต้น
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทได้เตรียมเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนการลงทุน 80 ล้านดอลลาร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลก เพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งนับเป็น 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก นับเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญ เพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย
โดยทั้ง 6 ธุรกิจ ล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของบริษัท อีกทั้งจะเร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วม และโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้ง 6 จากการเข้าถือหุ้นของบริษัท จะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของบริษัท