<p>ยุคสมัยนี้มีนวัตกรรมต่าง ๆ ก้าวหน้าไปอย่างมาก เราจะเห็นว่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ได้เกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน หรือแม้กระทั่ง<strong>พัดลม</strong>ดูดอากาศ หลายคนคงรู้จักเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนี้กันมาบ้างแล้ว แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้จักว่าเจ้าเครื่องนี้มีหน้าที่อะไร มีประโยชน์อย่างไร ทำไมต้องหามาใช้ วันนี้มีคำตอบมาให้คุณแล้ว เครื่องนี้ทำอะไรได้บ้างคุ้มค่าพอจะซื้อมาใช้หรือเปล่า ตามมาดูพร้อมกันเลย</p>
<h2>1. ช่วยระบายความร้อน</h2>
<p>ขึ้นชื่อว่าพัดลมหน้าที่หลักก็ต้องเกี่ยวกับการระบายความร้อนอยู่แล้ว โดยเฉพาะห้องแบบปิดที่ไม่มีช่องให้อากาศได้ถ่ายเท ห้องแบบนี้จะร้อนเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากคุณติดเครื่องดูดอากาศนี้ไว้บนฝ้า เพดานจะช่วยดูความร้อนภายในห้องได้เป็นอย่างดี</p>
<h2>2. ช่วยลดฝุ่นละอองเล็ก ๆ ในห้อง</h2>
<p>ฝุ่นละอองมีได้ทุกที่แม้กระทั่งห้องที่คุณคิดว่าปิดมิดชิดอย่างดีแล้ว ก็ยังมีฝุ่นละอองเล็ก ๆ มารบกวนได้ &nbsp;แต่ถ้าคุณติดเครื่องดูดอากาศนี้ไป จะสามารถช่วยดูดฝุ่นละอองเล็ก ๆ ออกไปได้มากพอสมควร ลดการเกิดโรคภูมิแพ้และลดสิ่งสกปรกในห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว</p>
<h2>3. ช่วยจัดการกลิ่นอันไม่พึงประสงค์</h2>
<p>กลิ่นเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รบกวนจิตใจใครหลาย ๆ คน และคงเป็นอะไรที่แย่มากหากบ้านของคุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยอยู่รอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับ กลิ่นอาหาร กลิ่นน้ำหอม ทุก ๆ กลิ่นสามารถบรรเทาได้ด้วยเครื่องดูดอากาศเครื่องนี้ล่ะ</p>
<h2>4. ช่วยทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น</h2>
<p>บ้านไหนที่มีปัญหาอากาศถ่ายเทไม่สะดวกเนื่องจากตัวบ้านมีการปิดแบบมิดชิดเพราะติดเครื่องปรับอากาศหรือเหตุผลอะไรตาม เครื่องดูดอากาศเครื่องนี้สามารถช่วยระบายอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้หลายคนนิยมนำมาติดคู่กับเครื่องปรับอากาศหรือจะนำไปติดในห้องที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท เช่น ห้องน้ำ ห้องนอนโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน</p>
<h2>5. ช่วยลดคราบอาหารสะสม</h2>
<p>ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านอกจากช่วยดูดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากการทำอาหารได้แล้ว ยังสามารถลดคราบสะสมของอาหารได้ด้วย เพียงคุณนำไปติดไว้ที่ห้องครัวก็จะช่วยดูดกลิ่นอาหารที่ลอยฟุ้งอยู่รอบห้องครัวและป้องกันไม่ให้คราบหรือกลิ่นอาหารลอยไปติดตามผ้าม่าน โซฟา เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในบ้านได้แล้ว</p>
<p>ประโยชน์มากมายขนาดนี้ไม่มีติดบ้านไว้สักเครื่องคงไม่ได้แล้วสำหรับ<strong>พัดลม</strong>ดูดอากาศสารพัดประโยชน์นี้ เพียงคุณติดตั้งไว้ในบ้านก็สามารถสร้างบรรยากาศรอบบ้านให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น สิ่งต่าง ๆ ที่คอยรบกวนการอยู่บ้านของคุณจะหมดไป ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น คราบสกปรก หรือแม้กระทั้งฝุ่นละออง เครื่องนี้ก็กำจัดเรียบ เอาอยู่ทุกสถานการณ์แน่นอน&nbsp;</p>

พัดลมดูดอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควรมีติดบ้าน

<p><strong>พัดลม</strong>ระบายอากาศหรือดูดอากาศ โดยส่วนมากแล้วเราจะใช้ติดตั้งเพื่อระบายกลิ่นไม่พึงประสงค์และช่วยให้อากาศภายในห้องนั้นหมุนเวียนได้ดีขึ้น รวมถึงยังช่วยระบายความร้อนและช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากแบ่งตามการใช้งานแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือแบบติดผนัง แบบติดกระจก แบบฝังฝ้าไม่ต่อท่อระบายอากาศ และแบบต่อท่อฝังฝ้า&nbsp;</p>
<h2>1. วิธีเลือกซื้อ</h2>
<p>การเลือกซื้อพัดลมระบายอากาศที่เหมาะสมนั้นให้ดูที่ความสามารถในการระบายอากาศเป็นหลัก ซึ่งมักจะบอกเป็นหน่วยของ ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง (CMH) หรือ ลูกบาศก์ฟุต/นาที (CFM) หากต้องการทราบว่า สามารถระบายอากาศได้เพียงพอหรือไม่ สามารถคำนวณได้ดังนี้ &nbsp;<br />ปริมาณลม CMH (ลบ.ม/ชั่วโมง) = ปริมาตรห้อง (ลบ.ม.) x 10ปริมาณลม CFM (ลบ.ฟุต/นาที) = ปริมาตรห้อง (ลบ.ม.) x 35.28 x 10 / 60 หรือ ปริมาตรห้อง (ลบ.ฟุต) x 10 / 60 &nbsp;</p>
<p>เช่น ห้องน้ำขนาด 3 x 2 เมตร สูง 2.5 เมตร มีปริมาตร 15 ลบ.ม. จะต้องใช้ตัวช่วยระบายอากาศไม่น้อยกว่า 88.2 CFM หรือ 150 CMH เป็นต้น &nbsp;การที่เราเลือกความสามารถของการระบายอากาศได้อย่างเหมาะสมนั้นจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายกลิ่นได้อีกทางหนึ่ง</p>
<h2>2. วิธีการติดตั้ง</h2>
<p>อันดับแรกคือการกำหนดจุดติดตั้ง โดยพิจารณาทิศทางการไหลของอากาศภายในห้อง ควรติดตั้งให้ตรงกับทิศทางที่อากาศไหลเข้าหรือบริเวณที่ต้องการการถ่ายเทอากาศสูง โดยให้มีความสูงจากพื้นที่ประมาณ 1.80-2.40 เมตร &nbsp;หากผนังด้านนั้นสามารถดูดอากาศออกไปได้เลยให้ใช้แบบติดผนังหรือแบบติดกระจก แต่หากไม่สามารถระบายอากาศออกได้ให้ติดแบบฝังเพดาน ซึ่งจะระบายอากาศออกไปทางด้านบนแทน</p>
<h2>3. วิธีการทำความสะอาด</h2>
<p>ควรมีการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยต้องถอดฝาปิดตัวใบพัดด้วยการหมุนตามเข็มนาฬิกาแล้วดึงใบพัดออกมา หลังจากนั้นให้ถอดฝาครอบตัวนอกของเครื่องออก จะเห็นน็อตที่ยึดกับฐานของเครื่อง ให้ใช้ไขควงหมุนออกแล้วดึงตัวฐานออกมาจากฝาครอบด้านใน ล้างทำความสะอาดใบพัดและฐานด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอก ผึ่งให้แห้งและประกอบกลับเข้าไปตามเดิม &nbsp;</p>
<p>จากข้อมูลข้างต้นคงจะพอทำให้หลายคนคลายความสงสัยและช่วยให้มีความรู้เกี่ยวกับ<strong>พัดลม</strong>ระบายอากาศมากขึ้น และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปเลือกซื้อให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ซึ่งหากใครที่อาจจะมีปัญหาในการคำนวณพื้นที่ก็ไม่ต้องกังวลใจ ให้เราบอกขนาดห้องกับร้านที่เราจ้างให้ติดตั้งทางร้านก็สามารถคำนวณและเลือกขนาดให้เหมาะสมกับบ้านของเราได้เช่นกัน &nbsp;</p>

พัดลมระบายอากาศดียังไงใช้แบบไหนจึงเหมาะสม

<p>เครื่องใช้ไฟฟ้ายุคนี้นั้นผลิตออกมาเพื่อให้ผู้คนเลือกซื้อกันไปใช้อำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังผลิตออกมาในราคาที่ทุกคนสามารถจับจองหรือจับต้องเลือกซื้อได้ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผู้คนมักซื้อเข้ามาติดในบ้านกันอันดับแรกก็คือ <strong>&ldquo;พัดลม&rdquo;</strong> เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ฟ้าทำความเย็นในระบบมอเตอร์ ที่มีผลิตมานานหลายปี มีใช้มานานหลายสมัยใช้สำหรับเปิดดับร้อนจากอากาศอบอ้าว เมื่อเวลาผ่านไปปัญหาในการใช้งานที่พบบ่อยคือ ใบพัดเสีย มอเตอร์เสีย เฟืองฝืด อาการเหล่านี้อาจจะฟังอาจฟังดูรุนแรงไป ดูเป็นอาการเฉพาะทางแต่ใครๆ ก็สามารถแก้ไขได้หากรู้วิธีแก้ไขต่อไปนี้</p>
<h2>1. หยอดน้ำมันกันฝืด</h2>
<p>หากพบเจอปัญหาเฟืองฝืดประการแรกที่สามารถแก้ไขได้คือหาน้ำมันเครื่องมาหยอดบริเวณมอเตอร์ด้านใน เนื่องจากมอเตอร์นั้นหมุนใช้งานอยู่ตลอดเวลา หากมีการใช้งานในระยะยาวติดกันเป็นเวลานานก็ทำให้เกิดอาการเฟืองในฝืดได้ เมื่อเป็นอาการนี้ผลข้างเคียงคือ ใบพัดหมุนเอื่อย และมีเสียงดังเหมือนเสียงพลาสติกเสียดสีตลอดเวลา ลองหาน้ำมันเครื่องดี หรือน้ำมันเครื่องใช้แล้วหยอดลงประมาณ 2-3 หยด พร้อมเปิดใช้งานอีกครั้ง</p>
<h2>2. หมั่นทำความสะอาด</h2>
<p>อีกหนึ่งประการที่ทำให้เฟืองฝืดใบหมุนหมุนไม่ดีคือความสกปรกภายในนั่นเอง เมื่อพบปัญหานี้ลองถอดอุปกรณ์พร้อมฝาครอบพัดลมออกอย่างระมัดระวังพร้อมทั้งเช็คดูว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่หรือไม่ส่วนมากจะเป็นเส้นเชือกขนาดเล็กและเส้นผมเส้นขนต่างๆ หากไปติดมอเตอร์ด้านในกำให้กำลังหมุนถ่วงลงเฟืองจะฝืดมากขึ้นนั่นเอง ให้ถอดทำความสะอาดอาทิตย์ละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย</p>
<h2>3. น็อตไม่แน่นหนา หรือหลวม</h2>
<p>อีกสาเหตุที่ทำให้เฟืองฝืดและการใช้งานที่ไร้ประสิทธิภาพมากขึ้นอาจเกิดแรงแรงหมุนถ่วงขณะใช้งานที่เปิดใช้ทำให้องค์ประกอบภายในมอเตอร์อาจจะมีหลุม หรือเสื่อมลงเช่น น็อตหลุด เมื่อหลุดแล้วจะทำให้ใบพัดหมุนแปลกไปจากเดิมอีกทั้งเสี่ยงต่อฝาครอบพังเนื่องจากใบพัดหมุนผิดปกติอีกด้วย ดังนั้นควรถอดออกมาเช็คดูว่าน็อตไขไว้แน่นหนาหรือไม่ หากไม่แน่นลองใช้ไขควงไขให้แน่นหนาและประกอบเข้าเหมือนเดิมพร้อมเปิดใช้งาน</p>
<p>นี่ก็เป็นเคล็ดลับแก้<strong>พัดลม</strong>อาการเฟืองฝืดที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งปัญหาเพียงเรื่องใบพัดจริงๆ แล้วไม่ต้องจ้างช่างให้เสียค่าบริการก็ได้ ขอเพียงมีไขควงสักอันเพื่อถอดชิ้นส่วนและสำหรับประกอบคืนก็เพียงพอแล้ว ทีนี้ล่ะเมื่อเกิดปัญหาปั๊บรีบจัดการทันที มิเช่นนั้นเดี๋ยวไม่มีลมเย็นๆ คอยไล่ยุงและคลายร้อนให้นะ</p>

3 วิธีแก้พัดลมเฟืองฝืดง่ายๆ ทำเองได้

<p>เครื่องใช้ไฟฟ้าในยุคนี้ได้ผลิตออกมามากมายเพื่อตอบสนองกับผู้ใช้ในเรื่องของอำนวยความสะดวก อีกทั้งยังสามารถเป็นเจ้าของหรือราคาจับต้องได้ ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นที่นิยมสำหรับทุกคน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียกได้ว่าเป็นปัจจัย 4 เครื่องใช้ไฟฟ้าติดบ้านนั่นก็คือ<strong>&rdquo;พัดลม&rdquo;</strong> ไว้สำหรับเปิดดับร้อน คลายร้อนเปิดไล่ยุงและแมลงต่างๆ ไม่ให้มาก่อกวนใจ แน่นอนว่ามีติดบ้านอย่างละ 1 ตัวใช้กันสะดวกสบาย แต่บางครั้งก็ต้องเจอปัญหา &ldquo;ใบพัดเสียงดัง&rdquo; อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเสียงดังรบกวนความสงบสุขในเวลาพักผ่อน แต่เรื่องนี้แก้ไขได้ไม่ยากหากทำตาม 3 วิธีต่อไปนี้</p>
<h2>1. หยอดน้ำมัน</h2>
<p>หากใบพัดลมเมื่อใช้งานไปได้สักปี หรือสักระยะพบว่าขณะที่ใบพัดหมุนเกิดเสียง อย่าชะล่าใจไปนะคะต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วนด้วยกันหยอดน้ำมันค่ะ น้ำมันที่ใช้หยอดใบพัดจะเป็นน้ำมันเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ใช้แล้ว หรือจาระบีก็ได้ทำการถอดฝาครอบออกพร้อมทั้งหยอดไปบริเวณรอยต่อเฟือง มอเตอร์ และใบพัดในทันทีพร้อมทั้งใช้มือหมุ่นใบพัดไปมา 1-2 รอบก็เป็นที่เรียบร้อย</p>
<h2>2. ถอดทำความสะอาด</h2>
<p>สาเหตุที่ใบพัดมีเสียงนั้นอาจจะเกิดจากมีฝุ่นละอองจำนวนมาก หรือมีเส้นผม เส้นด้าย สิ่งต่างๆ ที่เป็นเส้นไปพันติดอยู่ในบริเวณข้อหมุนพัดลม หรือบริเวณมอเตอร์ก็เป็นไปได้ดังนั้น สามารถอดออกมาและทำความสะอาดทุกๆ 1 สัปดาห์เป็นประจำนอกจากใบพัดไม่มีเสียงยังสามารถยืดอายุใช้งานได้อีกเท่าตัว หากใครอยากยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานกว่าเดิมสามารถทำความสะอาด 3 วันต่อ 1 ครั้งก็เป็นเวลาที่กำลังเหมาะพอดี</p>
<h2>3. เปลี่ยนมอเตอร์หรือใบพัด</h2>
<p>ใบพัดมีเสียงมีอีกสาเหตุหนึ่งคือใบเสื่อมสภาพหรือตัวมอเตอร์เริ่มฝืด ถ้าเป็นอาการนี้สังเกตได้จากใบพัดจะหมุนช้าลงมีความเอื่อยสามารถซื้อใบใหม่มาประกอบก็ใช้งานได้ดังเดิม หากเป็นที่มอเตอร์ถ้าซื้อตัวใหม่อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพง ลองเช็คดูว่าตัวมอเตอร์มีฝุ่นหรือคราบดำติดเยอะหรือไม่ หากมีแนะนำให้ใช้แปรงขนาดเล็ดชนิดมีขนนุ่มค่อยๆ ปัดออกเสียหน่อยพร้อมประกอบเข้าเหมือนเดิม พร้อมเปิดใช้งาน<br />&nbsp;<br />นี่ก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับแก้ไข<strong>พัดลม</strong>มีเสียง ซึ่งเราสามารถเช็คและทำได้ด้วยตนเอง อีกทั้งของพร้อมกับอุปกรณ์ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนมีติดบ้านกันอยู่แล้ว แถมยังประหยัดเงินไม่ต้องยกไปให้ช่างมาซ่อม หากเกิดอาการแบบนี้อีกครั้งก็สามารถซ่อมได้ด้วยตนเอง ใครที่กำลังประสบปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ทุกครั้งหลังซ่อมอย่าลืมตรวจเช็คความเรียบร้อยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจไม่คาดฝัน</p>

3 เคล็ดไม่(ลับ) ซ่อมพัดลมเสียงดังด้วยตนเอง

พัดลม

<p>วันหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นไม่ได้จำกัดอยู่ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เชิงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำได้จับมือกับนักออกแบบหรือศิลปินเพื่อออกแบบรูปร่างหน้าตาและการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นให้เป็นเหมือนงานศิลปะหรือของตกแต่งบ้านในแบบที่แยกกันไม่ออกเลยทีเดียว วันนี้ <strong>Baania</strong> ขอแนะนำ<strong>โทรทัศน์</strong>ที่เป็นมากกว่าโทรทัศน์ กับโทรทัศน์ที่สามารถโหลดรูปภาพศิลปะมาใส่ในจอและใช้แทนรูปภาพศิลปะที่สามารถเอามาตกแต่งบ้านได้ด้วย ส่วนจะเนียนแค่ไหน จะแตกต่างจากโทรทัศน์ทั่วไปอย่างไร ลองมาดูกันครับ</p>
<h2>จะดีแค่ไหนถ้าเราเอารูปที่ชอบมาอยู่ในจอโทรศัศน์</h2>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/TV-1.png" alt="การแต่งบ้านด้วยเฟรมภาพศิลปะที่ดูไม่ออกว่าจริงๆแล้วคือโทรทัศน์" /></p>
<p><strong>Yves B&eacute;har's studio</strong> ได้ออกแบบโทรทัศน์ <strong>Samsung</strong> พร้อมกรอบที่หุ้มรอบโทรทัศน์ที่จะทำให้คนที่ดูแยกไม่ออกว่าเป็นโทรทัศน์หรือเฟรมภาพเขียน ในชื่อ <strong>"The Frame television"</strong> โดยมีแนวคิดในการออกแบบว่า <strong>"disappear in the d&eacute;cor"</strong> ซึ่งได้ออกแบบให้โทรทัศน์เมื่อไม่มีการใช้งานก็จะสามารถเปลี่ยนไปใช้โหมดศิลปะ (Art Mode) เพื่อใช้แสดงภาพได้ <em>"จะเป็นยังไงถ้าจอ TV ที่บ้านให้ประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม &nbsp;ถ้า TV นั้นจะหายไปแล้วกลายเป็นของตกแต่งบ้านเมื่อมันไม่ได้ถูกใช้งาน"</em> ผู้ออกแบบกล่าว และการที่โทรทัศน์แบบเดิมนั้นเมื่อไมได้เปิดใช้งาน จะเกิดเป็นจอสีดำขึ้นภายในห้องที่นักออกแบบมองว่าทำให้ห้องดูไม่สวย งั้นลองเปลี่ยนโทรทัศน์ให้กลายเป็นจอแสดงภาพเขียนแทนก็จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/TV-2.png" alt="ติดตั้งกรอบรอบโทรทัศน์ง่ายๆ ด้วยกรอบหุ้มหลากหลายสี" /></p>
<p>ในส่วนของการใช้งาน <strong>The Frame</strong> สามารถปรับเปลี่ยนความสว่างตามสภาพแวดล้อมได้โดยอัตโนมัติ ให้เหมือนเป็นภาพวาดที่เปลี่ยนไปตามสภาพแสงที่เกิดขึ้นจริงๆ เช่น เมื่อถึงเวลาช่วงเย็น ภาพในเฟรมก็จะถูกลดความสว่างลงเพื่อให้สีสันที่เหมือนเวลาเราดูภาพวาดตอนเย็นนั้นเอง &nbsp;หรือมีโหมดที่โทรทัศน์สามารถปิดเองได้เมื่อเซ็นเซอร์ไม่พบว่ามีใครอยู่ในห้อง ซึ่งการลดแสงลงอัตโนมัติและการเปิดปิดเองก็จะช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วยนั้นเอง สำหรับการเลือกภาพศิลปะนั้นผู้ใช้สามารถกดซื้อภาพศิลปะผ่านทางออนไลน์หรือเลือกอัพโหลดรูปถ่ายภาพศิลปะของคุณ รวมไปถึงภาพถ่ายคนในครอบครัวผ่านมือถือ Smart PhoneหรือUSB Flash Drive แล้วสร้างเป็น Gallery ส่วนตัวของคุณเองหรือใช้เพื่อสะสมงานศิลปะระดับโลกที่สามารถกดซื้อมาได้</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/TV-4.png" alt="สร้าง Gallery ส่วนตัวของคุณด้วยภาพของครอบครัว" /></p>
<p><a href="https://baania.com/th/chiang-mai" target="_blank" rel="noopener"><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/ChiangMai_0.jpg" alt="ค้นหา บ้าน-คอนโด ในเชียงใหม่" /></a></p>
<p>ทั้งนี้ <strong>The Frame</strong> เคยถูกจัดแสดงร่วมกับงานศิลปะใน Gallery มาแล้ว โดย <strong>Samsung</strong> ร่วมกับ <strong>Saatchi Art</strong> ได้จัดนิทรรศการโชว์ภาพขึ้นที่ Old Truman Brewer เมือง Brick Lane, London ประเทศอังกฤษ ในช่วงเทศกาล <strong>London Design Festival</strong> เมื่อวันที่ 21-25 กันยายน 2560 โดยมีการนำ The Frame มาจัดแสดงร่วมกับงานศิลปะอื่นๆของศิลปินชาว London เพื่อแสดงให้เห็นว่า Digital Display นั้นสามารถแขวนอยู่ร่วมกับงานศิลปะชิ้นอื่นๆได้ ซึ่งคุณสามารถเอามันไปแขวนไว้ที่บ้านไม่ต่างจากงานศิลปะทั่วไปเลย และมันถูกมองว่าเป็นการเข้าสู่ new digital art era เลยทีเดียว เพราะปัจจุบันศิลปะไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนผ้าใบหรือในกรอบรูปเพียงอย่างเดียว</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/TV-3.png" alt="การนำ The Frame TV ไปจัดแสดงในงาน Gallery" /></p>
<p>ภายในนิทรรศการ นอกจากงานแสดงภาพศิลปะแล้ว ยังมีการแสดงนำเสนอรายละเอียดของ <strong>The Frame</strong> อาทิ สีของกรอบรอบจอ ขนาดของโทรทัศน์ที่มีวางขาย วีดีโอแนะนำแนวคิดในการออกแบบ และ ตัวอย่างรูปที่มีวางขายและแจกฟรีในตลาด โดยที่ผู้ใช้สามารถเลือกภาพศิลปะจากรูปฟรี 100 รูป ที่ได้มีการคัดเลือกไว้ให้แล้วหรือจะเลือกซื้อผ่านทางออนไลน์เพื่อดาวน์โหลดภาพศิลปะมากมายจาก Gallery หลายแห่งได้ อาทิ Albertina, the Museo del Prado, Lumas and Saatchi Art หรือจะเลือกซื้อระบบรายเดือนเพื่อรับชุดภาพที่จะเปลี่ยนไปในแต่ละเดือน นับว่าเป็นตลาดซื้อขายภาพศิลปะที่เป็นสิ่งใหม่ที่จะเข้ามาเป็นอีกทางเลือกในการสะสมงานศิลปะ ซึ่งทางผู้จัดก็หวังว่า <strong>The Frame</strong> จะกระตุ้นให้คนสามารถซื้องานศิลปะดิจิตอลเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับการซื้อเพลงหรือหนังที่สามารถเสพความบันเทิงนั้นได้ที่บ้านของคุณเอง</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/TV-5.png" alt="The Frame ที่กลมกลืนไปกับงานศิลปะทั่วไป" /></p>
<p><strong>การที่นักออกแบบมีส่วนร่วมในการออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น คงทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่มากขึ้นว่าจะเลือกซื้อจากการใช้งานเป็นหลักหรือจะพิจารณาในเรื่องของดีไซน์ไปด้วย ยิ่งผลิตภัณฑ์บางรุ่นถูกออกแบบด้วยนักออกแบบระดับโลกทำให้มันมีมูลค่าสูงขึ้นไม่ต่างจากของตกแต่งบ้านเลยทีเดียว และจากการที่เราสามารถกดซื้อภาพมาอยู่ในโทรทัศน์ของเราได้นั้น อาจจะช่วยทำให้คนเข้าถึงศิลปะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับคนสมัยใหม่ที่อาจจะไม่นิยมเข้าร้านขายภาพมากนัก &nbsp;ซึ่งก็เป็นที่น่าจับตามองว่าในอนาคตงานศิลปะจะถูกแทนที่ด้วยการจัดแสดงผ่าน Digital Display ไปเลยหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วผู้ชมงานยังคงต้องการภาพศิลปะบนเฟรมผ้าใบแบบเดิมๆอยู่ แล้วคุณละคิดว่ายังไงครับ?</strong></p>
<p><a href="https://baania.com/th/articles/10880/10882" target="_blank" rel="noopener"><img src="https://cdn.baania.com/b10/article/photo/CTA_TECH_TREND.png" alt="อ่านบทความ Tech &amp; Trends ได้ที่นี่" /></a></p>
<p><strong>ที่มาและรูปประกอบ:</strong><br /><a href="https://www.dezeen.com" target="_blank" rel="noopener">https://www.dezeen.com</a>&nbsp;<a href="https://www.dezeen.com/2017/09/13/video-samsung-the-frame-tv-pop-up-art-gallery-london-design-festival-2017-movie/?li_source=LI&amp;li_medium=recommended_movies_block" target="_blank" rel="noopener">1</a>&nbsp;|&nbsp;<a href="https://www.dezeen.com/2017/10/26/video-interview-samsung-the-frame-television-makes-buying-art-common-as-downloading-tv-show-movie/?li_source=LI&amp;li_medium=bottom_block_1" target="_blank" rel="noopener">2</a>&nbsp;|&nbsp;<a href="https://www.dezeen.com/2017/03/14/yves-behar-design-samsung-television-look-like-frame-artwork-design-technology/" target="_blank" rel="noopener">3</a>&nbsp;|&nbsp;<a href="https://www.dezeen.com/2017/09/08/samsung-offers-frame-tv-styling-by-scholten-baijings-inge-sempe-design-technology-ifa/?li_source=LI&amp;li_medium=bottom_block_1" target="_blank" rel="noopener">4</a></p>

โทรทัศน์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเฟรมภาพศิลปะได้

โทรทัศน์

<p>เครื่องซักผ้า อุปกรณ์ทุ่นแรงสำคัญของครอบครัวยุคใหม่ที่ช่วยประหยัดเวลาในการทำความสะอาดเสื้อผ้า รวมถึงเครื่องใช้ที่ทำจากผ้าประเภทต่าง ๆ การยืดอายุเครื่องซักผ้าให้ทำงานได้เป็นอย่างดีต้องใช้งานตามคู่มือ และมีการบำรุงดูแลรักษาที่ดี การดูแลเครื่องซักผ้าไม่ใช่เรื่องยาก และด้วยอาการบางอย่าง เจ้าของเครื่องก็สามารถ<strong>ซ่อมเครื่องซักผ้า</strong>ด้วยตนเองได้หากเข้าใจอาการผิดปกติเบื้องต้น Baania รวมเทคนิคการซ่อมเครื่องซักผ้าเบื้องต้นด้วยตัวเองมาแบ่งให้อ่านกันครบที่นี่เลย</p>
<h2>ทำความรู้จักประเภทของเครื่องซักผ้า</h2>
<p>เนื่องจากเครื่องซักผ้าแต่ละแบบมีรูปแบบการทำงาน รวมไปถึงอะไหล่ที่แตกต่างกัน การทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องซักผ้าว่ามีกี่ประเภท เป็นการช่วยประเมินขั้นตอนการซ่อมเครื่องซักผ้าได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบัน มีเครื่องซักผ้าอยู่ 2 ประเภท ตามการออกแบบดังนี้</p>
<h3>1. เครื่องซักผ้าฝาหน้า<strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;</strong></h3>
<p>เป็นเครื่องซักผ้าที่สามารถจุผ้าได้จำนวนมาก รวมถึงชิ้นงานที่ต้องการซักที่มีขนาดใหญ่ อาทิ เบาะปูนอน ผ้านวม อีกทั้งยังสามารถตั้งโปรแกรมเพื่อการทำความสะอาดผ้าได้หลากหลาย มักมีฟังก์ชั่นอบผ้ามาด้วย นับว่าเป็นความสะดวกในการซักผ้าที่จบครบในขั้นตอนเดียว เหมาะกับครอบครัวใหญ่ที่ต้องซักผ้าครั้งละมาก ๆ</p>
<h3>2. เครื่องซักผ้าฝาบน</h3>
<p>เป็นเครื่องซักผ้าอเนกประสงค์ มีให้เลือกทั้งแบบอัตโนมัติ และกึ่งอัตโนมัติ ขนาดความจุประมาณ 9-12 กิโลกรัม สามารถซักผ้าที่มีขนาดปานกลาง อาทิ ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ถ้าเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ สามารถแยกการซักและปั่นออกจากกันได้ แต่ไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องมานั่งเฝ้าการทำงานของเครื่องซักผ้า แต่ประหยัดน้ำมากกว่า<br />การประเมินอาการเครื่องซักผ้า</p>
<p>เมื่อรู้จักเครื่องซักผ้าตามการออกแบบแล้ว สิ่งนี้เป็นตัวช่วยในการพิจารณา วิเคราะห์อาการเสียของเครื่องซักผ้า เพราะเครื่องซักผ้าทั้งแบบฝาบน และ ฝาหน้า ต่างมีอาการชำรุดเสียหายเบื้องต้นที่แตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่ อาการพื้นฐานของเครื่องซักผ้าที่มักเจอเป็นประจำคือ น้ำไม่เข้าถัง ถังไม่ซักหรือปั่นผ้า อาการลัดวงของแผงวงจร หรือ มีเสียงดังเกิดขึ้นระหว่างการซักผ้า และการรั่วซึมจากแนวข้อต่อต่าง ๆ ของเครื่องซักผ้า ซึ่งถือเป็นอาการผิดปกติที่พบได้เป็นประจำที่ซึ่งสามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ด้วยตัวเอง</p>
<h2><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597600334802-ประเภทเครื่องซักผ้า.jpg" alt="ประเภทเครื่องซักผ้า" /></h2>
<h2>หลักการซ่อมเครื่องซักผ้า</h2>
<p>จากอาการผิดปกติของเครื่องซักผ้าดังที่ได้กล่าวมาแล้วในช้างต้น จุดที่ถือเป็นปัญหาหลักของเครื่องซักผ้า ทั้งเครื่องซักผ้าฝาบน และเครื่องซักผ้าฝาหน้า มักเกี่ยวข้องกับ ระบบไฟฟ้า ที่มาของปัญหาการเปิดเครื่องซักผ้าไม่ติด วาล์ว หรือ แผ่นยางต่างๆ ในจุดกั้นน้ำหรือระบายน้ำ ในปัญหาการรั่วซึม หรือ น้ำไม่เข้าถึงซัก ปัญหาเครื่องซักผ้าเกิดเสียงดังจากความเสื่อมสภาพของสายพานยาง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้เองทั้งสิ้น สามารถแบ่งรูปแบบการ ซ่อมเครื่องซักผ้า ได้ตามประเภทดังนี้</p>
<h2><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597600377855-หลักการซ่อม.jpg" alt="หลักการซ่อม" width="1020" height="765" /></h2>
<ul>
<li>
<h3>วิธีซ่อมเครื่องซักผ้าฝาบน</h3>
</li>
</ul>
<p><strong>กรณีน้ำไม่ระบายออกจากถังซัก</strong></p>
<p>ปัญหาเหล่านี้ เกิดจากการอุดตันท่อน้ำทิ้ง สามารถตรวจสอบได้ด้วยการเปิดฝาหลังเครื่องซักผ้า และหมุนวาล์วท่อน้ำทิ้งด้านหลังเครื่องซักผ้าที่มีลักษณะเป็นวาล์วพลาสติกสีขาว เปิดดูภายในท่อน้ำทิ้งว่ามีสิ่งใดอุดตันบ้าง ล้างและกำจัดสิ่งอุดตันทั้งหลายออกให้หมด ก็สามารถใช้การได้ตามปกติ</p>
<p><strong>กรณีปั่นผ้าแห้งแล้วเกิดเสียงดัง</strong></p>
<p>ส่วนใหญ่เกิดจากการปั่นผ้าจำนวนมากเกินไป เมื่อทำการปั่นผ้าแห้งแล้วเกิดเสียงดัง ให้หยุดการปั่นผ้าแล้วลองจัดเรียงผ้าใหม่อีกครั้ง โดยปกติ จะไม่เกิดอาการเสียงดังอีก แต่ถ้ายังมีอาการอยู่ ให้ตรวจสอบน๊อตยึดแกนด้วยการเปิดฝาหลังเครื่องซักผ้า ถ้าน๊อตยึดแกนหลวมให้ขันจนแน่น แต่ถ้าน๊อตยึดแกนบางตัวหลุดหาย สามารถซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนได้เอง ด้วยการนำน๊อตไปเปรียบเทียบและซื้อจากร้านขายวัสดุก่อสร้างได้</p>
<p><strong>กรณีสายไฟในส่วนต่าง ๆ ขาด</strong></p>
<p>สามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดสายไฟในส่วนที่ขาดออก แล้วทำการปอกสายไฟใหม่ แล้วผูกเข้าด้วยกัน พันด้วยเทปพันสายไฟให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ เครื่องซักผ้าก็สามรถกลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง</p>
<h2><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597600418143-ซ่อมเครื่องซักผ้าฝาบน.jpg" alt="ซ่อมเครื่องซักผ้าฝาบน" width="1020" height="765" /></h2>
<ul>
<li>
<h3>วิธีซ่อมเครื่องซักผ้าฝาหน้า</h3>
</li>
</ul>
<p><strong>กรณีน้ำไม่เข้าถังซัก</strong></p>
<p>ในกรณีนี้ให้ตรวจสอบระบบน้ำเข้าทั้งซักว่ามีการรั่วซึมบริเวณไหน ถ้าพบจุดรั่วซึมให้ทำการเปลี่ยน หรือใช้เทปกันน้ำปิดทับพื้นที่รั่วซึม แต่ถ้าพบว่าเป็นการอุดตันในส่วนของท่อน้ำน้ำเข้าเครื่องซักผ้า สามารถล้างทำความสะอาดให้สิ่งอุดตันทั้งหมดหลุดไปได้</p>
<p><strong>กรณีน้ำรั่วจากฝาปิดด้านหน้า</strong></p>
<p>ปัญหานี้มักเกิดจากขอบยางต่าง ๆ เสื่อมสภาพ &nbsp;ในกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างการซักผ้า ให้หยุดการซักผ้าทันที แล้วนำผ้าและน้ำที่อยู่ในถังซักออกให้หมด เปลี่ยนซีลยางใหม่ให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ เครื่องซักผ้าก็พร้อมใช้งานได้อีกครั้ง</p>
<p><strong>กรณีน้ำรั่วซึมจากจุดต่าง ๆ</strong></p>
<p>เมื่อเห็นน้ำไหลออกทางพื้นเครื่องซักผ้า ให้หยุดการทำงานของเครื่องซักผ้าเช่นกัน ตรวจสอบหาจุดรั่วซึมจนพบ ในกรณีที่เป็นยางกั้นน้ำต่าง ๆ สามารถถอดออกเปลี่ยนได้ด้วยตนเอง ในกรณี สายยางรั่ว สามารถเปลี่ยนใหม่เองได้เช่นกัน</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597600454974-ซ่อมเครื่องซักผ้าฝาหน้า.jpg" alt="ซ่อมเครื่องซักผ้าฝาหน้า" width="1020" height="766" /></p>
<p>การดูแลและ<strong>ซ่อมเครื่องซักผ้า </strong>ขั้นพื้นฐานไม่ได้ยากอย่างที่คิด ทุกปัญหาสามารถตรวจสอบ ค้นพบ และแก้ไขได้ด้วยตนเองที่บ้าน สามารถนำเทคนิคการซ่อมเครื่องซักผ้าด้วยตนเองเหล่านี้นำไปตรวจสอบและดูแลรักษาเครื่องซักผ้าให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติและสมบูรณ์ที่สุดอยู่เสมอ</p>
<p><strong>ที่มาภาพประกอบ :</strong></p>
<p><a href="https://home.kapook.com/view161167.html?fbclid=IwAR3ta1M_RBtgCcFAHaY03VM4BwLQLYc92w0p0N5BsNN44giFFK9-mEqrcH4">https://home.kapook.com</a></p>

ซ่อมเครื่องซักผ้าด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ ไม่พึ่งช่าง

<p>มาทำเครื่องซักผ้าให้สะอาดอย่างง่ายด้วย 5 <strong>วิธีล้างเครื่องซักผ้า </strong>เพื่อให้ผู้ช่วยของคุณกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยู่คู่บ้านไปอีกนาน เหมือนได้เครื่องใหม่ ทำให้เสื้อผ้าของคุณไม่มีกลิ่นอับ ใส่แล้วระคายเคือง หรือมีคราบสกปรกจนทำให้สูญเสียความมั่นใจ มาล้างเครื่องซักผ้ากันด้วยขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ที่ประหยัดเวลาแถมยังใช้งบประมาณน้อย</p>
<h2>1. เตรียมอุปกรณ์</h2>
<p>ก่อนการทำความสะอาด จำเป็นต้องสำรวจเครื่องซักผ้าก่อนทุกครั้งว่า ทำความสะอาดล่าสุดเมื่อไหร่ และสภาพของเครื่องมีคราบดำ ตะกอน หรือกลิ่นเหม็นติดแน่นมากเพียงใด เพื่อให้เตรียมน้ำยาและอุปกรณ์ทำความสะอาดได้ถูกต้อง</p>
<p>เบกกิ้งโซดา (Sodium Bicarbonate) ที่ใช้สำหรับทำขนม แต่ก็มีคุณสมบัติอื่นอีก เว็บไซต์ Honestdocs เผยว่า โซดาทำขนมสามารถล้างสารพิษออกจากผัก ผลไม้ บำรุงผิว และทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้ เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ลักษณะเป็นผลึกสีขาว ผิวหยาบเล็กน้อย คล้ายเกลือ โดยนิยมใช้ล้างเครื่องซักผ้าที่มีการทำความสะอาดในระยะ 1-3 เดือนหรือคราบสกปรกน้อย ขจัดออกง่าย</p>
<p>น้ำส้มสายชู ก็สามารถจัดการคราบได้โดย ดร.สุภาวดี ปาทาธนานนท์ อาจารย์วิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า ในตัวน้ำส้มสายชูมีกรดเข้มข้น สามารถยับยั้ง ป้องกัน และขจัดเชื้อรา รวมถึงคราบตะกอนได้ มักใช้กับเครื่องซักผ้าที่ทำความสะอาด 6 เดือนขึ้นไป หรือมีคราบสกปรกมาก ขจัดออกยาก</p>
<p>น้ำยาฆ่าเชื้อ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการทำความสะอาดเครื่องซักผ้า และยังสามารถนำไปทำความสะอาดอย่างอื่นได้หลากหลาย ด้วยตัวของน้ำยาเองถูกออกแบบมาเพื่อจัดการแบคทีเรียโดยตรง จึงมีค่าใช้จ่ายสูง และเป็นอันตราย ใช้ได้กับเครื่องซักผ้าทุกการทำความสะอาด หรือคราบสกปรกทุกรูปแบบ</p>
<p>น้ำยาล้างจาน เป็นตัวช่วยทำความสะอาดอีกทางเลือกหนึ่งในการขจัดเมือก และกลิ่นเหม็น โดยตัวน้ำยามีฤทธิ์เป็นเบส ช่วยจัดการน้ำมัน หรือคราบมันได้ มักใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ถอดได้ต่างๆ ของเครื่องซักผ้า</p>
<p>อุปกรณ์ทำความสะอาด จะเน้นไปที่การขัดคราบสกปรกที่ติดแน่น โดยมีแปรงขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง สามารถนำแปรงสีฟันเก่า แปรงซักผ้า หรือฟองน้ำมาใช้แทนได้ แปรงมีด้ามยาวขนาดเล็ก หรือหัวฉีดแรงดันน้ำ สำหรับขัดตามซอกที่มือไม่สามารถเข้าไปได้ ตะไบเหล็กและไขควงชนิดต่าง ๆ เพื่อใช้งัดและถอดชิ้นส่วนของเครื่อง</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592378334262-เตรียมอุปกรณ์.jpg" alt="เตรียมอุปกรณ์" width="1020" height="765" /></p>
<h2>2. เครื่องซักผ้าฝาหน้า</h2>
<p>สำหรับการทำความสะอาดเครื่องซักผ้าชนิดนี้ค่อนข้างมีความสะดวก เนื่องจากตัวเครื่องมีราคาสูง จึงมีระบบมากมายในการล้าง แต่ไม่ควรถอดชิ้นส่วนเครื่องออกมาเอง เพราะมีความซับซ้อน โดยการใส่น้ำยา 1 ถ้วยตวงลงไปในช่อง เปิดเครื่อง กดโหมดซักผ้า (ปกติจะมีโหมดล้างเครื่องก็สามารถกดได้เลย)&nbsp;</p>
<p>ปรับอุณหภูมิให้มีความร้อนหากมีคราบมาก หรือติดแน่น ควรปรับให้สูงเข้าไว้ จะทำให้น้ำยาเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่นำผ้าใส่ และปั่นเป็นเวลา 3-10 นาทีโดยขึ้นอยู่กับน้ำยาที่ใส่มีกรดมากหรือน้อย หลังซักเสร็จนำแปรงเล็กมาทำความช่องเก็บสิ่งแปลกปลอม เก็บคราบที่ติดตามมุมหรือซอก และเปิดเครื่องซักเหมือนเดิมอีกครั้งโดยไม่ใส่น้ำยา เป็นเวลา 30 นาที</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592378357979-เครื่องซักผ้าฝาหน้า.jpg" alt="เครื่องซักผ้าฝาหน้า" width="1020" height="765" /></p>
<h2>3. เครื่องซักผ้าฝาบน</h2>
<p>เครื่องเหล่านี้จะมีกลไกไม่ซับซ้อน และสามารถทำความสะอาดได้มากกว่าเครื่องซักผ้าฝาหน้า แต่ใช้น้ำเยอะพอสมควร โดยวิธีการให้เทน้ำยาลงไปบนจุดที่มีคราบฝังแน่นก่อนประมาณ 3-5 นาที (หากเป็นเบกกิ้งโซดา สามารถผสมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อเกาะติดได้) แล้วฉีดน้ำ หรือใช้แปรงขัดออก&nbsp;</p>
<p>จากนั้นเปิดเครื่อง แล้วปรับโหมดน้ำให้อยู่ระดับสูงสุดพร้อมเทน้ำยาลงไป 3 ถ้วยตวง และปั่นโดยไม่มีผ้าเป็นเวลา 3-10 นาทีโดยขึ้นอยู่กับน้ำยาที่ใส่มีกรดมากหรือน้อย สังเกตในเครื่องว่ามีคราบ ตะกอน หรือกลิ่นอยู่หรือไม่ หากมีอยู่ให้ทำตามขั้นตอนเดิมอีกครั้ง และปิดท้ายด้วยซักเครื่องด้วยน้ำเปล่า 30 นาที</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592378378144-เครื่องซักผ้าฝาบน.jpg" alt="เครื่องซักผ้าฝาบน" width="1020" height="765" /></p>
<h2>4. ช่องใส่ผงซักฟอก</h2>
<p>การล้างอุปกรณ์ที่สามารถแยกออกจากตัวเครื่องได้ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างแรกในการความสะอาด เพราะไม่หนักและเก็บคราบได้ง่าย เพียงกดปุ่มล็อคของชิ้นส่วนนั้นออก นำมาขัดด้วยแปรงอ่อนผสมน้ำยา และล้างให้สะอาดก่อนนำมาใส่ที่ล็อคดังเดิม</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592378402071-ช่องใส่ผงซักฟอก.jpg" alt="ช่องใส่ผงซักฟอก" /></p>
<h2>5. เคล็ดลับน้ำยาล้างเครื่องซักผ้า</h2>
<p>น้ำยาที่ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องซักผ้านั้นมีทั้งกรดและเบสตั้งแต่ค่าต่ำไปถึงสูง หากใช้ในปริมาณมากอาจกัดกร่อนชิ้นส่วนภายในเครื่องได้ ถ้าจำเป็นต้องปล่อยทิ้งไว้นานๆ จึงไม่ควรเกิน 10 ชั่วโมงเป็นอย่างมาก การทำความสะอาดที่ดีต้องมีน้ำยาเบส และน้ำยากรด เพื่อขจัดคราบได้อย่างหมดจด ควรล้างเครื่องเดือนละ 1-2 ครั้ง จะทำให้เครื่องซักผ้าใช้ได้นานยิ่งขึ้น</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592378423167-เคล็ดลับ.jpg" alt="เคล็ดลับ" width="1020" height="765" /></p>
<p>การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่ลองทำตาม<strong>วิธีล้างเครื่องซักผ้า</strong>เหล่านี้เป็นประจำทุกเดือน ก็ทำให้เครื่องซักผ้าของคุณสะอาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการซัก ช่วยให้เสื้อผ้าไม่มีกลิ่นอับ คราบเปรอะเปื้อน หรือระคายเคืองผิวอีกต่อไป&nbsp;</p>

5 ขั้นตอนล้างเครื่องซักผ้าให้สะอาด เหมือนได้เครื่องใหม่

เครื่องซักผ้า

<p>ถ้าพูดถึง<strong>เครื่องกรองอากาศ</strong> ปัจจุบันคงกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกบ้านควรมีติดบ้านกันไว้แล้ว จากสถานการณ์ PM 2.5 ที่จากนี้ไปคงเวียนมาหาทุกปี แต่รู้หรือไม่ว่า ยิ่งมีการใช้เครื่องกรองอากาศมากขึ้นก็ยิ่งทำให้เกิดขยะเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยจากข้อมูลสำรวจพบว่ามีฟิลเตอร์ HEPA ที่ใช้ในเครื่องกรองอากาศกว่า 15 ล้านชิ้นถูกซื้อไปในปี 2019 ซึ่งไส้กรองเองก็ต้องมีการเปลี่ยนทุกๆ 6-8 เดือนด้วย ดังนั้นจึงมีผู้พัฒนาเครื่องกรองอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมา <a href="https://www.baania.com/th" target="_blank" rel="noopener"><strong>Baania</strong></a> จะพาไปดูว่าเครื่องกรองนี้มีดีอย่างไรบ้างนะครับ</p>
<p><strong>Briiv</strong> เป็นเครื่องกรองอากาศแบบยั่งยืน (Sustainable Air Purifier) ที่พัฒนาโดยทีมผู้ก่อตั้งจากประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากธรรมชาติโดยการเลือกใช้วัสดุในการผลิตและไส้กรองที่ทำจากธรรมชาติแบบ 100% ทั้งนี้การใช้ Briiv นั้นมีความสามารถเทียบเท่ากับต้นไม้ที่ปลูกในบ้านถึง 3,043 ต้น ซึ่งการใช้ Briiv นั้นจะช่วยทำให้อากาศดีขึ้นซึ่งดีต่อสุขภาพ นอนหลับได้ง่ายขึ้น สามารถช่วยให้จดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ยิ่งในปัจจุบันในบ้านของเราก็มักมีพวกฝุ่นละออง ควันเสียจากรถยนต์ กลิ่นจากการทำอาหาร รวมไปถึงขนสัตว์และเชื้อโรคต่างๆ การใช้เครื่องกรองอากาศจึงมีความจำเป็นมากขึ้นในการใช้ชีวิต</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592389619351-Briiv-2.jpg" alt="" width="1020" height="556" /></p>
<h2><strong>การออกแบบเครื่องกรองอากาศ</strong></h2>
<p><strong>Briiv</strong> ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากธรรมชาติของชนบทในต่างประเทศ โดยใช้สีสัน พื้นผิว และวัสดุที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ตัวรูปร่างภายนอกก็ออกแบบในสไตล์มินิมอลซึ่งเข้ากับการตกแต่งบ้านและที่ทำงานเหมือนการวางต้นไม้ปลูกในบ้านซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศธรรมชาติ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด การดูแลรักษาก็ทำได้ง่ายเพราะไม่จำเป็นต้องรดน้ำ แต่ต้องเปลี่ยนฟิลเตอร์แต่ละชั้นซึ่งมีอายุการใช้งานต่างกัน โดยเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน - 1 ปี สำหรับการใช้งานนั้น Briiv 1 เครื่องนั้นมีประสิทธิภาพในการกรองอากาศสำหรับพื้นที่ห้อง 36 ตารางเมตร และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง การใช้งานต้องเสียบเครื่องกับปลั๊กไฟ ซึ่งตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ประหยัดไฟอีกด้วย</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592389649708-Briiv-4.jpg" alt="" /></p>
<p><strong>วัสดุและฟิลเตอร์ของเครื่องกรองอากาศ</strong></p>
<p>จุดเด่นของ Briiv นั้นอยู่ที่การออกแบบฟิลเตอร์ 4 ชั้นที่สามารถย่อยสลายได้โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประกอบไปด้วยชั้นของมอส มะพร้าว ถ่านคาร์บอน และขนแกะ สามารถกรอง ฝุ่นละออง (PM 0.3) แก๊สพิษ (VOCs) สารที่ก่อให้เกิดอากาศแพ้ (PM10) และ แบคทีเรีย (PM5.0) โดยเฉพาะขนแกะนั้นเป็นเทคโนโลยีของนาซ่า (NASA) ที่สามารถกรองได้ผลดีกว่าไส้กรอง HEPA แต่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ซึ่งขนแกะที่นำมาทำเป็นไส้กรองนั้นมาจากแกะจากประเทศนิวซีแลนด์ที่เรียกว่า "Astino" ส่วนพลาสติกที่ใช้เป็นไบโอพลาสติกที่แปรรูปมาจากหญ้าเนเปียร์ ทั้งนี้ Briiv เลือกใช้วัสดุตัวเครื่องกว่า 90% จากวัสดุจากธรรมชาติและใช้ฟิลเตอร์จากวัสดุธรรมชาติ 100% ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำและย่อยสลายได้เอง ช่วยลดการสร้างขยะได้</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592389671113-Briiv-5.jpg" alt="" /></p>
<p><strong>การเชื่อมต่อ Smart Home</strong></p>
<p><strong>Briiv </strong>สามารถสั่งงานให้เปิดปิดอุปกรณ์หรือตั้งเวลาผ่านแอพพลิเคชั่นในมือถือ หรือเชื่อมต่อกับระบบ Smart Home ผ่านอุปกรณ์อย่าง Alexa หรือ Google Assistant ให้สามารถสั่งงานด้วยเสียง&nbsp;ทั้งยังสามารถตรวจดูอายุการใช้งานของฟิลเตอร์ว่าต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่</p>
<p><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592389755825-Briiv-3.jpg" alt="" width="1020" height="651" /></strong></p>
<p><strong>ราคา</strong></p>
<p><strong>Briiv</strong> นั้นมีราคาโปรโมชั่นอยู่ที่เครื่องละประมาณ 9,770 บาท พร้อมของแถมเป็นเซ็ตชุดกรองสำหรับเปลี่ยน 1 ปี มูลค่าประมาณ 1,200 บาท ซึ่งสำหรับราคาเฉพาะไส้กรองที่ต้องซื้อเพิ่มทุกปีนั้นจะมีราคาถูกกว่าการซื้อไส้กรองในเครื่องกรองอากาศทั่วไปกว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1592389775747-Briiv-6.jpg" alt="" width="1020" height="500" /><strong>ก็เรียกได้ว่า </strong><strong>Briiv นั้นเป็นเครื่องกรองอากาศทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมในทุกด้านจริงๆ โดยถ้าเทียบกับเครื่องกรองอากาศทั่วไปก็นับว่าราคาไม่ต่างกันมาก ถ้าเราสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ดีต่อสิ่งแวดล้อมในการใช้ชีวิตประจำวันได้ก็คงดีนะครับ เป็นการลดการสร้างขยะให้กับโลกและช่วยประหยัดพลังงานและค่าไฟอีกด้วย ใครสนใจก็สามารถทดลองสั่งมาใช้งานได้เลย</strong></p>
<p><strong>ที่มาและภาพประกอบ:</strong></p>
<ul>
<li><em><a href="https://www.briiv.co.uk/">https://www.briiv.co.uk/</a></em></li>
<li><em><a href="https://www.kickstarter.com/projects/briiv/briiv-the-worlds-most-sustainable-air-filter?ref=7qxs96">https://www.kickstarter.com/projects/briiv</a></em></li>
<li><em><a href="https://www.yankodesign.com/2020/06/11/this-natural-air-purifier-uses-a-miniature-forest-to-rapidly-clean-your-atmosphere/">https://www.yankodesign.com</a></em></li>
</ul>

Briiv เครื่องกรองอากาศที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมแบบ 100%

เครื่องกรองอากาศ

<p><strong>ตู้เย็น</strong>หนึ่งอุปกรณ์สำคัญสำหรับครอบครัวยุคใหม่ สำหรับการเก็บอาหารให้คงทนอยู่นาน รวมไปถึงการผลิตน้ำเย็นน้ำแข็งเพื่อการพักผ่อนสังสรรค เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนี้มีหลากหลายรูปแบบ และมากวัตถุประสงค์การใช้งาน ถ้าเลือกในขนาดที่ไม่เหมาะสม ย่อมเกิดปัญหาตามมาที่อาจจบท้ายด้วยการต้องไปซื้อใหม่ ทั้งเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น มาดูกันว่า การเลือกตู้ทำความเย็นให้เหมาะสมกับขนาดจำนวนสมาชิกในครอบครัว มีวิธีการเลือกในรูปแบบใดบ้าง</p>
<p><strong>ข้อแนะนำในการเลือก ตู้เย็นเพื่อใช้งานในบ้านตามจำนวนสมาชิกในครัวเรือน</strong><br />วิธีการที่ดีที่สุดในการเลือกตู้ทำความเย็นเพื่อการใช้สอยในบ้านควรพิจารณาจากจำนวนสมาชิกในครอบครัวเป็นที่ตั้ง เพราะจำนวนสมาชิกในครอบครัว มีผลต่อการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์ที่สุด ซึ่งมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้</p>
<h2>1. แบบฝาเดี่ยว เหมาะสำหรับคนโสด หรือครอบครัวขนาดเล็กที่มีสมาชิกเพียง 2 คน</h2>
<p>เป็นตู้ที่มีราคาถูกที่สุด โดยส่วนใหญ่จะมีความจุไม่เกิน 4 คิว โดยทั่วไปชั้นวางของร่วมไปถึงช่องทำน้ำแข็งจะถูกรวมอยู่ในตู้แช่เดียวกันทั้งหมด ดังนั้น แบบฝาเดี่ยวเหมาะสำหรับการเก็บของจำนวนไม่มาก เหมาะสำหรับคนโสดที่อยู่คนเดียว หรือขอบครัวขนาดเล็กที่อาจใช้เวลาว่างสุดสัปดาห์ในการทำอาหาร จึงไม่ต้องตุนวัตถุดิบในการทำอาหารมากนัก</p>
<h2>2. สองฝาแยกชั้นปกติและช่องแช่งแข็งออกจากกัน เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็ก</h2>
<p>สำหรับครอบครัวที่ต้องมีการเตรียมอาหารให้เด็ก ตู้แช่เย็นประเภทสองฝาแยกจากกันระหว่างตู้แช่ทั่วไป กับตู้แช่แข็ง มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะสุขภาพอนามัยของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ การมีช่องแช่ที่แบ่งเป็นสัดส่วนระหว่างของสด ของคาว ขนม ผักหรือผลไม้ ควรมีการแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจน เพื่อไม่เกิดปัญหาการปนเปื้อนของเนื้อสัตว์กับผักใบต่าง ๆ ที่อาจทำให้ลุกหรือคนในครอบครัวท้องเสียได้</p>
<h2>3. แบบสองฝาบบานพับขนาดใหญ่ สำหรับครอบครัวใหญ่ ต้องการพื้นที่ความจุมาก</h2>
<p>ตู้แช่เย็นสองฝาบานพับขนาดใหญ่ ถือเป็นตู้ที่มีความจุมาก โดยทั่วไปมีขนาดใหญ่ถึง 20 คิว และแน่นอน ราคาย่อมสูงตามไปด้วย ครอบครัวที่เหมาแก่การใช้ตู้แช่เย็นประเภทพนี้ คือ ครอบครัวใหญ่ หรือกลุ่มสมาชิกที่มีมากกว่าสองครอบครัวขึ้นไปอยู่ในชายคาเดียวกัน การเตรียมของเพื่อการกินอยู่ รวมไปถึงน้ำดื่มต้องพอเพียงสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน ดังนั้น ตู้แช่เย็นขนาดใหญ่ ที่มีช่องแช่งมากมาย จึงตอบสนองกลุ่มครอบครัวใหญ่ได้เป็นอย่างดี</p>
<p>แม้ว่าในท้ายที่สุด การเลือก<strong>ตู้เย็น</strong>ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อเป็นหลัก แต่ถ้ารู้จักการประเมินความเหมาะสมในการใช้ตู้แช่เย็น ก็จะเป็นการลดค่ายใช้จ่ายอันเกินควรในการเลือกขนาดตู้เล็กหรือใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว มองหาตู้แช่เย็นที่ใช้ให้ความสุขกับทุกคนอย่างเต็มที่</p>

แนะนำวิธีการเลือกตู้เย็น ให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว

<p>ตู้เย็นมีเสียงดังทีไร ไม่เพียงกลัวต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนเยอะ แต่ยังสร้างความรำคาญใจให้เราอีกด้วย วันนี้จึงนำเคล็ดลับของการแก้ไขอาการเสียงดังภายในตู้แช่เย็น ซึ่งหลายท่านอาจจะพบเจอปัญหานี้แม้ว่าพบบ่อยหรือไม่บ่อยตามอายุและการใช้งาน แต่ไม่สามารถแก้ได้มาฝาก ซึ่งบอกไว้เลยว่าเคล็ดลับนี้ง่ายมากสามารถทำเองได้แบบไม่ง้อช่าง</p>
<h2>1. เช็คว่าใส่ของมากเกินไปหรือไม่</h2>
<p>หากใส่ของที่มีน้ำหนักมากจนเกินไปมีส่วนทำให้ตู้แช่เย็นทำงานหนักขึ้นเนื่องจากคอมเพลสเซอร์ทำงานค่อนข้างเยอะ และต้องใช้กระแสไฟทั้งวันทั้งคืนเมื่อแช่ของหนักศูนย์ถ่วงของตัวตู้จะไม่สมดุลทำให้เกิดเสียงดังคล้ายมอเตอร์แอร์ทำงานดังภายในตู้ตลอดเวลาการใช้งาน วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือนำของที่แช่ภายในตู้ประเภทน้ำหรือของแข็งที่ไม่จำเป็นออกพร้อมทั้งดูอาการว่าเสียงยังดังหรือไม่ ถ้าหากเอาออกเครื่องมักทำงานปกติเช่นเดิม</p>
<h2>2. คอมเพลสเซอร์เสีย</h2>
<p>เมื่อพบว่าตัวตู้เกิดเสียงดัง แต่ของไม่ได้แช่เยอะให้เช็คได้ที่คอมเพลสเซอร์ได้ทันที โดยเช็คได้จากระดับความร้อนภายใน และท่อทำความเย็น หากนำมือไปสัมผัสพอว่าไม่เย็นหรือมาความร้อนมาแทรกแทน ให้ทำการเรียกซ่อมด่วนโดยช่างเฉพาะทางในทันที(ในกรณีที่ไม่สามารถซ่อมด้วยตนเองได้เนื่องจากส่วนนี้ต้องเป็นความรู้เฉพาะทาง) เพียงแค่เช็คเบื้องต้นบอกอาการได้ก็เพียงพอแล้ว หากไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายช่างมากสามารถยกคอมเพลสเซอร์ไปยังร้านเครื่องเย็นพร้อมบอกอาการประหยัดเงินค่าซ่อมได้ครึ่ง สามารถยกคอมเพลสเซอร์ออกได้อย่างไร ขั้นแรกต้องชักปลั๊กออกทั้งหมดจะเห็นถังสีดำด้านล่างตู้บางรุ่นสามารถชักออกตามถาดออกได้ทันที</p>
<h2>3. ผนังตู้หย่อน</h2>
<p>ด้านหลังผนังของตู้เย็นทุกรุ่นจะมีแผงพลาสติดขนาดเท่ากับตัวตู้ทาบไว้ป้องกันความร้อน ให้อถณหภูมิปรับคงที่ตลอดเวลาหากพบเสียงดังสันนิษฐานได้ว่าแผ่นผนังตู้อาจจะหลุดได้ ให้ทำการเสียบเข้าล็อคให้พอดี หากล็อคไม่สามารถเสียบได้ให้น้ำเทปดำมาทำการแปะยึดผนังติดกับตัวตู้ไปก่อนก็ไม่เสียหาย แต่สามารถติดและยึดได้ไม่เกิน 1 ปี และอีกวิธีคือสามารถนำน็อตมาไขเพิ่มเติมได้เช่นกัน จะมีรูให้ไขเข้าไปทุกรุ่น</p>
<p>นี่ก็เป็นเคล็ดลับการแก้ไขพร้อมเช็คอาการ<strong>ตู้เย็น</strong>เบื้องต้น ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งวัสดุอุปกรณ์ในงานช่างเลย หากที่บ้านพบปัญหาตู้เเช่เย็นเสียงดังสามารถนำวิธีเช็คและวิธีแก้ไขที่กล่าวมานี้ไปใช้ได้โดยไม่ง้อช่างเลยล่ะ</p>

3 เคล็ดลับแก้ไขตู้เย็นมีเสียงดังเบื้องต้น

<p>หากพูดถึง <strong>&ldquo;ตู้เย็น&rdquo; </strong>อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมีติดบ้านทุกหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากอาหารเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็น และสำคัญต่อการดำรงชีวิต แถมยังไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า คนเราไม่สามารถซื้ออาหารมาทานได้ตลอด เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง การจะทำอาหารที่ใช้ของสดก็จำเป็นต้องมีตัวช่วยถนอมอาหาร และที่จัดเก็บของสดเหล่านั้น จึงส่งผลให้ตัวเครื่องทำงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นค่าไฟฟ้าก็จะมาจากส่วนนี้ด้วย วันนี้เราจึงมีวิธีที่จะช่วยประหยัดค่าไฟง่ายๆ และสามารถปฏิบัติตามกันได้ทุกคน</p>
<h2>1. เลือกซื้อที่มีฉลากเบอร์ 5</h2>
<p>&nbsp;ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นสิ่งที่จะช่วยการันตีให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่า มีส่วนช่วยในการประหยัดไฟ เนื่องจากมีการรับรองจากกระทรวงพลังงาน ผู้ออกฉลากประหยัดไฟในปัจจุบัน นอกจากนี้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562 มีการเพิ่มดาวลงไป ยิ่งมีดาวมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยประหยัดไฟได้มากถึงดวงละ 5 &ndash; 10 %</p>
<h2>2. ไม่เปิดค้างไว้เป็นเวลานานเกินความจำเป็น</h2>
<p>การเปิดปิดบ่อยครั้ง หรือเปิดค้างไว้เป็นระยะเวลานานเกินความจำเป็น จะทำให้อุณหภูมิภายนอกเข้าไปแปรปรวนกับอุณหภูมิภายใน ส่งผลให้ตัวเครื่องทำงานหนักมากขึ้น เพราะจะต้องรักษาอุณภูมิความเย็นภายในให้คงที่ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเปิด 1 ครั้งก็ควรที่จะนึกให้ออกก่อนว่าต้องการหยิบอะไร เพื่อเป็นการประหยัดค่าไฟไปในตัว</p>
<h2>3. หมั่นละลายน้ำแข็งอยู่เสมอ</h2>
<p>การหมั่นละลายน้ำแข็งภายในช่องแช่แข็งบ่อยครั้งอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีก 1 วิธีที่สามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้จริง เนื่องจากน้ำแข็งที่เกาะบริเวณช่องแช่แข็งเหล่านี้จะคอยขัดขวางการทำงานของตัวเครื่อง และทำให้อากาศภายในขาดการหมุนเวียนที่ดี และไร้ประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการทำงานภายในที่หนักมากยิ่งขึ้น</p>
<h2>4. จัดวางห่างจากผนังด้านหลังและด้านข้าง 15 เซนติเมตร</h2>
<p>ตำแหน่งในการจัดวางเองก็มีส่วนช่วยในการประหยัดไฟได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากตู้เย็นเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการทำงานอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ดังนั้นการจัดวางให้มีระยะห่างจากผนังทั้งด้านหลัง และด้านข้างอย่างน้อย 15 เซนติเมตร จะช่วยให้ตัวเครื่องมีอากาศถ่ายเทได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การทำงานของแผงวงจรที่ทำหน้าที่ถ่ายเทความร้อนด้านหลังทำงานน้อยลง</p>
<p>นอกเหนือจากวิธีการใช้งานที่มีส่วนช่วยในการประหยัดไฟแล้ว ผู้ใช้งานก็อย่าลืมที่จะหมั่นดูแลรักษา ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่ติดกับบ้านเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น และยังช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องใช้ให้คงทน แถมยังช่วยทำให้สมาชิกภายในบ้านรู้สึกเหมือนมี<strong>ตู้เย็น</strong>ใหม่ตลอดเวลาด้วย</p>

How to ใช้ตู้เย็นอย่างไรให้ประหยัดไฟและพลังงาน

<p>หากจะพูดถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นภายในบ้าน หรือมีกันทุกบ้านที่มาอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้น <strong>&rdquo;ตู้เย็น&rdquo;</strong> เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดทำความเย็น ไว้สำหรับแช่ของสด แช่ขนม หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยากเก็บอุณหภูมิเพื่อความคงสภาพไม่ให้เน่าเสียนั่นเอง แน่นอนว่าทุกบ้านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวนี้ต้องพบเจอปัญหาเรื่องของ&rdquo;กลิ่น&rdquo;ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งยังแก้ลำบาก จะถอดอุปกรณ์หรืออะไหล่ออกมาล้างน้ำก็เสียเวลา และใช้เวลาพอสมควรทั้งถอดออกและประกอบเข้า มีความเสี่ยงที่ประกอบแล้วไม่เหมือนเดิมต้องเรียกช่างเข้ามาดู เสียเงินอีกแน่นอน มาพบกับเคล็ดลับง่าย ๆ บอกลากลิ่นเหม็นแบบไม่ต้องถอดมาล้างกัน</p>
<h2>1. นำของออกให้หมด</h2>
<p>เคล็ดลับข้อแรกคือ ต้องนำของออกจากตู้เย็นให้หมดก่อน โดยค่อย ๆ ทยอยเอาออกจากชั้นบนสุดมาจนถึงชั้นล่าง และทำการแยกเอาไว้ว่าของภายในตู้มีประเภทใดบ้าง เมื่อเอาออกจนหมดแล้วจะเหลือเพียงตัวตู้และน้ำแข็งค่อย ๆ นำของแข็งหรือมีดขนาดใหญ่กะเทาะน้ำแข็งจากในตู้ออกให้หมด หรือหากใช้มีดแล้วคิดว่าอันตรายให้เปิดทิ้งไว้จนกว่าละลายก็ได้ แต่อาจจะเสียเวลาสักหน่อย</p>
<h2>2. ผ้าชุบน้ำกับน้ำสะอาด</h2>
<p>มาถึงขั้นตอนเคล็ดลับต่อไปคือนำผ้าชุบน้ำชุบในน้ำสะอาดบิดพอหมาดทำการเช็ดไปตามซอกตู้ เช็ดให้ทั่ว หากมีคราบก็ควรเช็ดออกให้หมดค่ะ โดยเคล็ดลับนี้ควรถอดปลั๊กออกก่อน และทำการละลายน้ำแข็งภายในตู้ให้ละลายออกถึงจะทำได้ บางครั้งที่ตู้มีกลิ่นอันอาจะเป็นเพราะเราไม่ได้เปิดให้อากาศภายนอกเข้าและใส่ของทับถามไว้จำนวนมากเกินไป</p>
<h2>3. น้ำหอมจากดอกมะลิตัวช่วยดับกลิ่นระยะยาว</h2>
<p>เคล็ดลับอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจคือ &ldquo;น้ำหอมจากดอกมะลิ&rdquo; โดยเคล็ดลับนี้คนสมัยก่อนเขามักจะนำดอกไม้มาวางไว้ และปิดแช่แข็ง แต่วิธีนั้นทำให้มีกลิ่นหอมก็จริง แต่ค่อนข้างไม่กี่วันกลิ่นก็หายไป ดังนั้นหากใครมีดอกมะลิหลายดอก หรือมีเป็นต้นลองเด็ดมาและมาผสมกับน้ำหรือนำปั่นรวมกับน้ำให้เป็นเนื้อเดียว เทใส่แก้ววางในตู้ กลิ่นของดอกมะลิจะติดทนและไม่ทำให้เหม็นอับ</p>
<h2>4. นำไปตากแดด</h2>
<p>อีกเคล็ดลับสุดง่าย ที่ทุกคนมองข้ามไปเลยคือ &ldquo;ตากแดด&rdquo; แต่ไม่ใช่นำไปตากแดดทั้งตู้ เพียงแค่ถอดอุปกรณ์ภายในไปตากแดดให้แดดฆ่าเชื้อบ้างตากไว้ 2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างมาก เพียงเท่านี้กลิ่นอบ กลิ่นเหม็นก็หายไปแบบง่ายดาย แนะนำให้ทำทุก ๆ 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง</p>
<p>นี่ก็เป็นเคล็ดลับบอกลากลิ่น<strong>ตู้เย็น</strong>เหม็นอับแบบง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ แล้วปัญหาเหม็นอับ เหม็นเน่าในตู้เเช่เย็นจะหายไป แถมยังได้ตู้ที่สะอาดเหมือนใหม่ ทั้งกลิ่นหายตั้งประหยัดค่าไฟด้วยน้า</p>

4 เคล็ดลับบอกลาตู้เย็นเหม็น แบบไม่ต้องล้าง

ตู้เย็น

<p>เตารีดไอน้ำ คือ อุปกรณ์ประจำบ้านยุคใหม่ที่ถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับยุคสมัย ใช้งานได้ง่ายในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านมือโปรหรือพ่อบ้านมือใหม่เพียงแค่เสียบปลั๊กแล้วเปิดเครื่องก็สามารถใช้งานได้แล้ว</p>
<p>อย่างไรก็ดี ถึงแม้เตารีดไอน้ำสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราได้ดีเพียงใด แต่ก็มักพบปัญหาจุกจิกกวนใจเรื่องคราบสกปรกจากการใช้งานอยู่เสมอ เราจึงขอนำทุกท่านไปพบกับ <strong>วิธีล้างเตารีดไอน้ำ</strong> ง่าย ๆ ให้ได้ผลดี ไม่มีคราบกวนใจกันเลย</p>
<h2>ประเภทของเตารีดไอน้ำ</h2>
<p>เตารีดไอน้ำถูกจำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่</p>
<h3>1. เตารีดไอน้ำธรรมดา&nbsp;</h3>
<p>มีลักษณะภายนอกคล้ายกับเตารีดไฟฟ้าทั่วไป แต่มีความแตกต่างกันที่ระบบการทำงาน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยไอน้ำแรงดันสูงเท่านั้นเอง นอกจากนี้ เตารีดไอน้ำแบบธรรมดายังสามารถจำแนกออกได้อีกหลายประเภท อาทิ เตารีดไอน้ำแบบหม้อต้ม เตารีดไอน้ำแยกหม้อต้ม หรือเตารีดไอน้ำแบบไร้สาย เป็นต้น</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669707843-เตารีดไอน้ำธรรมดา.jpg" alt="เตารีดไอน้ำธรรมดา&nbsp;" /></strong></h3>
<h3>2. เตารีดไอน้ำแบบมือถือ หรือเตารีดไอน้ำแบบตั้ง&nbsp;</h3>
<p>ถือเป็นเตารีดที่มีรูปทรงแตกต่างจากเตารีดธรรมดาอย่างชัดเจน มีคุณสมบัติอันโดดเด่นในการรีดเสื้อผ้าที่แขวนไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลกับคราบ หรือ ความเสียหายอันเกิดจากการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์รีดผ้าชิ้นอื่น ๆ มีจำหน่ายตั้งแต่ในราคา 2,000 &ndash; 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการใช้งานของอุปกรณ์นั้น ๆ</p>
<h2><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669734448-เตารีดไอน้ำแบบมือถือ.jpg" alt="เตารีดไอน้ำแบบมือถือ" width="1020" height="765" /></strong>อุปกรณ์ที่ใช้ในการล้างเตารีดไอน้ำ</h2>
<p>อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ใช้ในการล้างเตารีดไอน้ำ ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายภายในครัวเรือน หรือหากท่านใดสนใจอุปกรณ์เฉพาะทางที่มีคุณสมบัติในการล้างเตารีดไอน้ำได้เป็นอย่างดี เราก็มีนำมาฝากหลายชนิดด้วยกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งานเป็นสำคัญ</p>
<ul>
<li>
<h3>น้ำยาขจัดคราบหินปูน</h3>
</li>
</ul>
<p>คราบหินปูน คือปัญหาใหญ่ของเตารีดไอน้ำ ดังนั้น จึงต้องหมั่นล้างทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้อยู่เสมอ แต่การขจัดคราบหินปูนด้วยอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจสร้างความเสียหาให้กับเตารีดไอน้ำได้ ดังนั้น การทุ่นแรงด้วยน้ำยาขจัดคราบหินปูนซึ่งได้รับการยอมรับว่าปลอดภัยไร้สารตกค้าง ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669757987-น้ำยาขจัดคราบหินปูน.jpg" alt="น้ำยาขจัดคราบหินปูน" /></p>
<ul>
<li>
<h3>แปรงทำความสะอาดเตารีดไอน้ำ</h3>
</li>
</ul>
<p>มีทั้งประเภทธรรมดา และ กึ่งอัตโนมัติ สามารถรองรับการใช้งานได้หลายแบบ ด้วยความที่ตัวแปรงมีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นสูง ทำให้แปรงชนิดนี้สามารถซอกซอนเข้าไปทำความสะอาดเตารีดไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าสิ่งสกปรกเหล่านั้นจะซ่อนตัวอยู่ในจุดที่ยากจะเข้าถึงก็ตาม</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669785271-แปรงขัด.jpg" alt="แปรงขัด" /></p>
<ul>
<li>
<h3>ครีมทำความสะอาดเตารีด</h3>
</li>
</ul>
<p>ถือเป็นอุปกรณ์ที่สามารถขจัดคราบไหม้ของเตารีดไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีขั้นตอนการใช้งานง่าย ๆ เพียงอุ่นเตารีดให้ร้อนด้วยอุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส จากนั้นบีบครีมทำความสะอาดเตารีดลงไปบนผ้าสะอาด แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่เกิดคราบ ก็จะสามารถขจัดคราบสกปรกบนเตารีดไอน้ำได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องล้างให้เสียเวลา</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669808052-ครีมทำความสะอาดเตารีด.jpg" alt="ครีมทำความสะอาดเตารีด" /></p>
<ul>
<li>
<h3>ยาสีฟัน</h3>
</li>
</ul>
<p>ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ายาสีฟันก็สามารถนำมาใช้ล้างเตารีดไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ขั้นตอนการทำงานก็ง่ายไม่ซับซ้อน เพียงแค่บีบยาสีฟันแล้วทาบริเวณคราบไหม้ จากนั้นเปิดเตารีดให้ร้อนแล้วรอจนยาสีฟันไหม้ ปิดไฟเตารีดแล้วรอให้คราบไหม้เย็นตัวลง ก็สามารถใช้ผ้าชุบน้ำ หรือ ฟองน้ำเช็ดคราบฝังแน่นเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669835286-ยาสีฟัน.jpg" alt="ยาสีฟัน" /></p>
<ul>
<li>
<h3>เทียนไข</h3>
</li>
</ul>
<p>อุปกรณ์ที่อาจดูล้าสมัย แต่สามารถใช้ล้างคราบสกปรกที่ฝังแน่นบนเตารีดไอน้ำได้จริง เพียงแค่ท่านนำเทียนไขมาถูลงในบริเวณคราบสกปรกเหล่านั้น จากนั้นเปิดเตาให้ร้อน คราบสกปรกจะหลุดลอกออกมากับน้ำตาเทียนนั่นเอง</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669851432-เทียนไข.jpg" alt="เทียนไข" /></p>
<ul>
<li>
<h3>น้ำส้มสายชู</h3>
</li>
</ul>
<p>น้ำส้มสายชู คือวัตถุดิบในห้องครัวที่หาได้ง่าย ใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์ เพียงแค่นำไปต้มให้ร้อน ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยแล้วพักให้พออุ่น ๆ ก็สามารถนำมาเช็ดล้างทำความสะอาดเตารีดไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669870204-น้ำส้มสายชู.jpg" alt="น้ำส้มสายชู" /></p>
<h2>วิธีการล้างเตารีดไอน้ำด้วยตัวเองที่บ้าน</h2>
<p>การล้างเตารีดไอน้ำง่าย ๆ สามารถทำได้ที่บ้าน มีวิธีการหลัก ๆ อยู่ 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่</p>
<h3>1. ล้างเตารีดไอน้ำจากภายใน</h3>
<p>นำน้ำส้มสายชู หรือน้ำยาขจัดคราบเทลงไปผสมน้ำในอัตราส่วนที่ระบุไว้ตามคู่มือ หากเป็นน้ำส้มสายชู ให้ใช้ในอัตราส่วน 1 : 1 จากนั้นจึงเปิดเตารีดไอน้ำในระดับสูงสุด เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วให้ปล่อยไอน้ำออกมาจากตัวอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าคราบสกปรกเหล่านั้นจะหลุดออกมานั่นเอง</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669906731-ล้างเตารีดไอน้ำจากภายใน.jpg" alt="ล้างเตารีดไอน้ำจากภายใน" width="1020" height="765" /></strong></h3>
<h3>2. ล้างส่วนนอกของเตารีดไอน้ำ</h3>
<p>สามารถใช้ยาสีฟัน ผงซักฟอก ตลอดจนอุปกรณ์ที่เราได้กล่าวไว้ในข้างต้น นำมาทาลงบริเวณที่เกิดคราบ จากนั้นปล่อยให้เตารีดไอน้ำทำงานจนคราบเหล่านั้นไหม้หรือละลายออกมา แล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก็จะสามารถล้างคราบสกปรกที่ติดอยู่กับเตารีดไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
<p><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597669932149-ส่วนนอกของเตารีดไอน้ำ.jpg" alt="ล้างส่วนนอกของเตารีดไอน้ำ" /></strong><strong>วิธีล้างเตารีดไอน้ำ</strong> ที่ดี นอกจากจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของอุปกรณ์และผู้ใช้งานเองแล้ว ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปกรณ์ทำความสะอาดที่อาจสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น การนำวัสดุอุปกรณ์ที่เราสามารถหาได้ในบ้าน มาดัดแปลงให้เหมาะสม จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกท่านไม่ควรละเลย เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถล้างเตารีดไอน้ำด้วยวิธีการง่าย ๆ สะดวกสบาย ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากเลยทีเดียว</p>
<p><strong>ที่มาภาพประกอบ :</strong></p>
<p><a href="https://th.wikihow.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94?fbclid=IwAR2j_ZGS7s5IawjoRVDCcz87d55WUKj1hg9COCHH4V-BaoqWjrUsdQBD2w4">https://th.wikihow.com</a></p>
<p><a href="https://www.hotdeal.vn/ho-chi-minh/nha-cua-doi-song/combo-2-chai-kem-ve-sinh-ban-ui-clean-on-nhap-khau-thai-lan-185393.html?fbclid=IwAR3afTjnxxuw1ENP8fdPHSL4tkC_dd3KWrbLEAuS8-2r5_l81O8jvYISx5o">https://www.hotdeal.vn</a></p>
<p><a href="https://teerith.blogspot.com/2016/07/hg-bathroom-professional-limescale.html?m=1&amp;fbclid=IwAR3xBuFiRxJIl_ycs2VIhEVCH-Z9kY780gxykEsXPil5Bjsmc58jaKzPRj8">https://teerith.blogspot.com</a></p>

วิธีล้างเตารีดไอน้ําด้วยตนเองที่บ้าน

<p>เตารีด เครื่องใช้ไฟฟ้าคู่ทุกครัวเรือนที่มีขนาดเล็ก ช่วยให้การรีดผ้าไม่ยุ่งยากเหมือนสมัยก่อน แต่การที่ต้องใช้เตารีดอยู่เป็นประจำอาจทำให้เกิดการชำรุด หรือรอยไหม้บนเตารีดที่เป็นปัญหากวนใจ วันนี้เราจึงขอนำเสนอ <strong>วิธีแก้เตารีดไหม้</strong>สำหรับแม่บ้านยุคใหม่ จะมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลย</p>
<h2>ประเภทของเตารีด</h2>
<p>เป็นที่รู้กันดีว่า เตารีด คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนเพื่อใช้รีดให้ผ้าเรียบ โดยสมัยก่อนเรียกว่า อุดเตา ซึ่งมีรูปทรงคล้ายคลึงกับเตารีดในปัจจุบันแต่ทำด้วยเหล็ก และทองเหลือง อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าสองถึงสามเท่า ให้ความร้อนโดยการใช้ถ่านเผา แต่เมื่อเวลาผ่านไป นวัตกรรมก็ถูกพัฒนาตามไปด้วย ทำให้มีเตารีดหลายรูปแบบให้เลือกใช้ในปัจจุบัน อาทิ</p>
<ul>
<li><strong>เตารีดไฟฟ้าแบบธรรมดา </strong>เป็นเตารีดที่นิยมใช้กันในปัจจุบันเพราะใช้งานง่าย มีที่ปรับอุณหภูมิของเตารีดให้เหมาะสมกับผ้าแต่ละชนิด และเมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด อุปกรณ์จะตัดทันทีอัตโนมัติ</li>
<li><strong>เตารีดไอน้ำ</strong> ทำงานคล้ายกับเตารีดธรรมดาทั่วไป แต่จะมีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่า โดยจะมีช่องบรรจุน้ำทำให้เกิดไอน้ำขึ้น เพื่อให้ผ้าที่รีดยากมีรอยยับเยอะ ๆ รีดได้รวดเร็วง่ายดาย แต่จะใช้เวลาในการอุ่นเครื่องนานถึง 3 นาที และมีราคาที่แพงกว่า</li>
<li><strong>เตารีดไฟฟ้าแบบกดทับ </strong>มีขนาด และแผ่นทำความร้อนที่ใหญ่กว่าเตารีดปกติทั่วไป จึงทำให้ผ้าเรียบภายในเวลาอันรวดเร็ว ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย แถมใช้เวลาในการรีดน้อยกว่าเตารีดธรรมดา และเตารีดไอน้ำ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้มากนัก เพราะมีราคาค่อนข้างสูง&nbsp;</li>
</ul>
<h2><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597425916424-ประเภทของเตารีด.jpg" alt="ประเภทของเตารีด" width="1020" height="765" />สาเหตุที่เตารีดไหม้เกิดจากอะไรได้บ้าง</h2>
<p>เมื่อเตารีดผ่านการใช้งานมาสักระยะแล้ว ปัญหาที่มักกวนใจก็มักจะตามมาอย่างรอยไหม้สีน้ำตาลที่เกิดขึ้นบนหน้าเตารีด ซึ่งส่วนมากจะสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อทำความสะอาดอุปกรณ์ แต่สำหรับใครที่ไม่ค่อยได้ตรวจเช็คเตารีดอยู่เป็นประจำหลังการใช้งาน อาจทำให้คราบสีน้ำตาลไปติดอยู่บนเนื้อผ้าขณะรีดได้ เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของคุณแม่บ้านทุกคน มาดูสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยไหม้บนเตารีดกัน</p>
<ul>
<li><strong>ใช้แรงในการรีดมากเกินไป</strong> ขณะรีดผ้า หากใช้แรงในการรีด หรือการกดทับมากจนเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนที่มากขึ้นกว่าปกติ</li>
<li><strong>ใช้อุณหภูมิสูงมาก </strong>ในช่วงแรกที่เปิดใช้งานเตารีด หลายครั้งที่กลัวว่าจะร้อนไม่ทันใจ จึงเปิดใช้งานในอุณหภูมิที่สูงตั้งแต่ต้น จนเผลอลืมไปว่าเมื่อเครื่องอุ่นตัวไปสักพักจะให้ความร้อนมากเกินความจำเป็น</li>
<li><strong>ลืมวางเตารีดทิ้งไว้</strong> เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อวางเตารีดทิ้งเอาไว้นานจนเกิดเป็นความร้อนสะสม ทำให้ไหม้เสื้อผ้าที่กำลังรีดอยู่</li>
</ul>
<h2><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597425953625-สาเหตุ.jpg" alt="สาเหตุ" width="1020" height="765" />วิธีแก้เตารีดไหม้ด้วยตนเองแบบง่าย ๆ&nbsp;</h2>
<p>เมื่อเตารีดเกิดรอยไหม้จะมีคราบสีน้ำตาลติดอยู่ที่หน้าเตารีด ทำให้รีดผ้าได้ไม่ลื่น และจะมีรอยไหม้สีน้ำตาลติดไปที่เสื้อตัวอื่น ๆ ที่จะรีด ดังนั้น เมื่อพบว่าเตารีดมีรอยไหม้ ลองทำตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้</p>
<h3>1. เทียนไข</h3>
<p>สามารถนำเทียนไข หรือแท่งพาราฟินมาถูบริเวณที่ไหม้แล้วเร่งอุณหภูมิเตารีดให้ร้อนเพื่อละลายเทียนไขออกไป จากนั้นใช้ผ้าสะอาด หรือทิชชู่คราบเช็ดออก</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426010879-เทียนไข.jpg" alt=" เทียนไข " /></strong>2. ทิชชู่ และเกลือ</h3>
<p>นำทิชชู่แผ่นใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะรีดผ้า โรยเกลือลงไปบนทิชชู่ และนำเตารีดที่ร้อนจัดมาทาบลงบนเกลือ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นปิดไฟ รอให้หายร้อน และนำผ้าชุบน้ำมาเช็ด คราบก็จะหลุดออกมา</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426046807-ทิชชู่.jpg" alt="ทิชชู่" width="1020" height="765" /></strong>3. ผงซักฟอก และน้ำอุ่น</h3>
<p>ให้นำผงซักฟอก และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน นำเศษผ้าสะอาดนุ่ม ๆ จุ่มลงไปในน้ำผงซักฟอก เช็ดไปที่หน้าเตารีดโดยเน้นจุดรอยไหม้ และใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำมาเช็ดอีกครั้ง</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426091853-ผงซักฟอก.jpg" alt="ผงซักฟอก" width="1020" height="765" /></strong>4. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า</h3>
<p>ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ หรือสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั้วไป นำมาฉีด และเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าสะอาด คราบไหม้จะหลุดออกทันที</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426128125-ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า.jpg" alt="ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า" width="1020" height="765" /></strong>5. น้ำส้มสายชู และน้ำเปล่า</h3>
<p>นำทั้งสองอย่างมาผสมกันในสัดส่วน 1 ต่อ 1 เท่า ๆ กัน แล้วเช็ดลงไปให้ทั้วบนที่บริเวณรอยไหม้</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426167975-น้ำส้มสายชู.jpg" alt="น้ำส้มสายชู" width="1020" height="765" /></strong>6. ยาสีฟัน</h3>
<p>เดินไปหยิบยาสีฟันที่ใช้ในห้องน้ำนำมาบีบลงบนหน้าเตารีดที่มีรอยไหม้ ถูวนเบา ๆ ใช้เวลาสักพัก คราบไหม้จะหลุดออกมา หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดยาสีฟัน และคราบไหม้ทั้งหมดออก</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426203845-ยาสีฟัน.jpg" alt="ยาสีฟัน" width="1020" height="765" /></strong>7. ใบตอง</h3>
<p>เป็นวิธีโบราณ โดยสามารถเอาเตารีดไปรีดบนใบตอง จะช่วยทำให้รอยไหม้หายไปได้</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426250415-ใบตอง.jpg" alt="ใบตอง" width="1020" height="765" /></p>
<h3>8. กระดาษหนังสือพิมพ์</h3>
<p>เปิดความร้อนเตารีดในระดับกลางแล้วถูลงไปบนกระดาษหนังสือพิมพ์จนคราบหลุดออกจนหมด หรือจะปั้นหนังสือพิมพ์ให้เป็นก้อนแล้วนำไปขัดบริเวณที่มีรอยไหม้ก็ได้เช่นกัน</p>
<h3><strong><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426278095-หนังสือพิมพ์.jpg" alt="หนังสือพิมพ์" width="1020" height="765" /></strong>9. พาราเซตามอล</h3>
<p>ในขณะที่เตารีดทำงานอยู่ นำยาพาราเซตามอล 1 เม็ดมาถูบริเวณที่มีรอยไหม้ ควรใช้ที่คีบเพื่อความปลอดภัย เมื่อทำไปสักพักเม็ดยาจะเริ่มละลายไปกับคราบไหม้จนคราบหลุดออกมา</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1597426313615-พาราเซตามอล.jpg" alt="พาราเซตามอล" width="1020" height="765" />สำหรับการใช้งานเตารีดในทุก ๆ วัน การดูแลรักษาก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่บ้านยุคใหม่ควรให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะปัญหาการเกิดรอยไหม้บนเตารีด และ <strong>วิธีแก้เตารีดไหม้</strong>ที่อาจจะส่งผลเสียได้มากกว่าที่คิดหากรู้ช้าเกินไป ดังนั้นควรหมั่นตรวจเช็คทำความสะอาดเตารีดอยู่เป็นประจำ&nbsp;</p>

วิธีแก้เตารีดไหม้ สำหรับแม่บ้านยุคใหม่

ทริคง่ายๆ ที่เเม่บ้านควรรู้ กับ 15 วิธีทำความสะอาดเตารีด

เตารีด

<p>ปัจจุบันเรามี<strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>อยู่หลายอย่าง เรียกได้ว่าถ้าไม่มีไฟฟ้าชีวิตคงลำบากมากทีเดียว เคยสงสัยบ้างไหมว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิด กินไฟ มากกว่าหรือน้อยกว่ากันยังไง วันนี้จะเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า 7 ชนิด พร้อมทั้งวิธีใช้ให้ประหยัดลองเรียงอันดับเล่นๆ ในใจกันก่อนอ่าน เริ่มจากที่กินไฟน้อยที่สุดไปมากที่สุด</p>
<h2>อันดับ 7 พัดลมตั้งพื้น</h2>
<p>พัดลมตั้งพื้นใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 20 - 75 วัตต์เท่านั้น แต่ถึงจะกินไฟน้อย การเปิดทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่ใช้ก็จะทำให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ วิธีใช้พัดลมตั้งพื้นให้ประหยัดคือเปิดเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้งานเท่านั้น โดยเปิดที่ระดับความเร็วลมที่พอดี ถ้าวันไหนอากาศดีลองเปิดหน้าต่างให้ลมธรรมชาติทำงานดูบ้าง &nbsp;</p>
<h2>อันดัน 6 ตู้เย็น</h2>
<p>หลายคนอาจได้ยินคนเตือนบ่อยๆ ว่าให้รีบปิดเปิดประตูตู้เย็นให้เร็วที่สุดเพราะเปลืองไฟ จนบางคนอาจคิดว่าตู้เย็นกินไฟมากๆ แต่ความจริงแล้วตู้เย็นใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 70 - 145 วัตต์ ไม่ติดโผเข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ อย่างไรก็ตาม เราคงไม่อยากเสียเงินไปกับการใช้ตู้เย็นด้วยวิธีผิดๆ อยู่ดี วิธีใช้ตู้เย็นให้ประหยัดมีหลายวิธี เช่น ตั้งตู้เย็นให้ห่างจากแหล่งความร้อน ทำความสะอาดแผ่นระบายความร้อนบ่อยๆ และ หลีกเลี่ยงการนำของร้อนเข้าไปแช่ เป็นต้น</p>
<h2>อันดับ 5 เครื่องเป่าผม</h2>
<p>เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้กำลังไฟฟ้าแซงหน้าตู้เย็นไปอีก โดนใช้กำลังไฟฟ้าอยู่ที่ 100 - 1000 วัตต์ ใช้เครื่องเป่าผมแต่ละครั้งก็ไม่ควรใช้เป็นเวลานานเกินไป โดยเฉพาะคนที่ใช้ทุกวัน วิธีที่จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าจากเครื่องเท่าผมคือควรเช็ดผมให้หมาดที่สุดก่อนแล้วจึงใช้เครื่องเป่า การสางผมไปด้วย หรือการคลุมผ้าขนหนูที่ผมก็ช่วยให้เป่าผมแห้งได้เร็วขึ้น ลดเวลาที่ใช้กับเครื่องเป่าผมลง</p>
<h2>อันดับ 4 เตาหุงต้มไฟฟ้า</h2>
<p>เตาหุงต้มไฟฟ้าเป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่ไม่สะดวกใช้เตาแก๊สในการประกอบอาหาร เตาหุงต้มไฟฟ้าต่างๆ ใช้กำลังไฟฟ้าอยู่ที่ 200 - 1500 วัตต์ การใช้เตาไฟฟ้าให้ถูกวิธีจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ นั่นคือ เลือกใช้ภาชนะหุงต้มที่เหมาะสม เลือกที่เป็นแบบก้นแบนและทำจากโลหะที่นำความร้อน ได้ดี ช่วยให้ร้อนเร็ว และเมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้วควรถอดปลั๊กจากเต้าเสียบออกไม่เสียบค้างไว้ดดยไม่จำเป็น</p>
<h2>อันดับ 3 หม้อหุงข้าว</h2>
<p>เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกบ้านของไทยต้องมี และใช้งานทุกวัน ถือว่าใช้กำลังไฟฟ้าค่อนข้างมากทีเดียว กินไฟถึง 450 - 1500 วัตต์ วิธีใช้หม้อหุงข้าวให้ประหยัดเริ่มจากการเลือกใช้ขนาดของหม้อหุงให้พอเหมาะกับปริมาณที่จะหุง หมั่นตรวจดูความสะอาดของแท่นความร้อนไม่ให้มีสิ่งสกปรกเกาะเพราะจะทำให้ร้อนช้า และควรถอดปลั๊กออกทุกครั้งที่หุงข้าวสุกแล้ว</p>
<h2>อันดับ 2 เครื่องปรับอากาศ</h2>
<p>เครื่องปรับอากาศหนึ่งตัวใช้กำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1200 - 3300 วัตต์ เป็นอันดับต้นๆของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่กินไฟมากที่สุด วิธีใช้เครื่องปรับอากาศให้ประหยัดมากขึ้นทำได้โดยหมั่นตรวจตราความสมบูรณ์และดูแลเครื่องให้อยู่ในสภาพดีอยู่ตลอด เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดพอเหมาะกับขนาดของห้อง และป้องกันทุกรอยรั่วของห้องที่อากาศจะเล็ดลอดเข้าออกได้</p>
<h2>อันดับ 1 เครื่องทำน้ำอุ่น</h2>
<p>มาถึงตัวท็อปเรื่องกินไฟอย่างเครื่องทำน้ำอุ่น โดยใช้กำลังไฟฟ้าที่ 2500 - 12000 วัตต์ เมื่ออาบน้ำด้วยน้ำอุ่นจากเครื่อง ควรเช็คให้มั่นใจว่าปิดสวิซต์ทุกครั้งหลังใช้งาน และควรเลือกขนาดของเครื่องทำน้ำอุ่นที่ไม่ใหญ่มากนัก ปรับระดับความร้อนของน้ำแต่พอดี&nbsp;</p>
<p>หวังว่าลำดับที่เรียงไว้ในใจก่อนจะอ่านของหลายคนคงจะคล้ายคลึงกับอันดับที่ได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ pea.co.th นี้อยู่บ้าง เพื่อที่จะได้ใช้<strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>อย่างถูกวิธี ประหยัดเงินได้มากขึ้น&nbsp;</p>

เรียงลำดับถูกไหม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไหนกินไฟมากกว่ากัน

<p><strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong> เป็นเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่คอยช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นดำเนินไปด้วยความเรียบง่าย สะดวก และรวดเร็ว แต่ความสะดวกสบายเหล่านี้ก็ต้องย่อมมีการแลกเปลี่ยนกับค่าใช้จ่ายที่มาในรูปแบบค่าไฟ ราวกับสุภาษิตสำนวนไทยที่ว่า &ldquo;ยื่นหมูยื่นแมว&rdquo; &nbsp;</p>
<h2><strong>วิธีคิดค่าไฟเบื้องต้น</strong></h2>
<p>หน่วยวัดการใช้พลังงานไฟฟ้าใน 1 ชั่วโมงเรียกว่า &ldquo;วัตต์ (WATT)&rdquo; หรือที่เราจะคุ้นตาในสัญลักษณ์ &ldquo;W&rdquo; ถ้าหากจำนวนวัตต์น้อย ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าก็จะน้อยตามด้วย ซึ่งส่งผลให้ค่าไฟนั้นถูกลง ซึ่งค่าไฟในประเทศไทยคิดเป็นหน่วยที่เรียกว่า &ldquo;ยูนิต (Unit)&rdquo; โดย 1 ยูนิตเท่ากับ 1,000 วัตต์ คิดเป็นเงิน 3.96 บาท</p>
<h2>อันดับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุด</h2>
<p>แน่นอนว่าภายในบ้านของแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีเครื่องใช้ในบ้านไม่น้อยกว่า 2 &ndash; 3 ชิ้น เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม เตาอบ โทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่า เครื่องใช้ในบ้านชนิดใดที่กินไฟมากที่สุด</p>
<h3>อันดับ 1 เครื่องทำน้ำอุ่น</h3>
<p>เครื่องใช้ชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในช่วงฤดูหนาว เพราะช่วยทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกมีความสุขกับการอาบน้ำ โดยเครื่องทำน้ำอุ่นใช้กำลังไฟฟ้าสูงถึง 2,500 &ndash; 12,000 วัตต์ เมื่อคิดเป็นจำนวนเงินจะอยู่ที่ 9.9 &ndash; 47.52 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 2 เครื่องปรับอากาศ</h3>
<p>เป็นเครื่องใช้ยอดนิยมที่คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีติดบ้านไว้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน โดยเครื่องปรับอากาศใช้กำลังไฟฟ้าสูงถึง 1,200 &ndash; 3,300 วัตต์ เมื่อคิดเป็นจำนวนเงินจะอยู่ที่ 4.75 &ndash; 13.07 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 3 เครื่องซักผ้าแบบมีเครื่องอบ</h3>
<p>สำหรับเครื่องใช้ในบ้านชนิดนี้ใช้กำลังไฟฟ้าสูงถึง 3,000 วัตต์ เมื่อคิดเป็นจำนวนเงินจะอยู่ที่ 11.88 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 4 เตารีดไฟฟ้า</h3>
<p>อุปกรณ์ที่ช่วยให้เสื้อผ้ามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย คนภายนอกมองผ่านมาจะรู้สึกถึงความเนี๊ยบของผู้สวมใส่ ซึ่งเครื่องใช้ชนิดนี้ใช้กำลังไฟฟ้าสูงถึง 700 &ndash; 2,000 วัตต์ คิดเป็นเงิน 2.77 &ndash; 7.92 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 5 หม้อหุงข้าว</h3>
<p>เครื่องใช้ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักที่คนไทยทานกันในทุก ๆ วัน ซึ่งใช้กำลังไฟฟ้า 450 &ndash; 1,500 วัตต์ คิดเป็นเงิน 1.78 &ndash; 5.94 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 6 เตาหุงต้มไฟฟ้า</h3>
<p>เครื่องใช้ชนิดนี้ใช้กำลังไฟฟ้า 200 &ndash; 1,500 วัตต์ คิดเป็นเงิน 0.79 &ndash; 5.94 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 7 เครื่องดูดฝุ่น</h3>
<p>ตัวช่วยในเรื่องของความสะอาดภายในตัวบ้านชนิดนี้ใช้กำลังไฟฟ้า 750 &ndash; 1,200 วัตต์ คิดเป็นเงิน 2.97 &ndash; 4.39 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 8 เครื่องปิ้งขนมปัง</h3>
<p>ถึงแม้ว่าการใช้เครื่องปิ้งขนมปังจะไม่มีการอมน้ำมัน และดีต่อสุขภาพ แต่เครื่องใช้ชนิดนี้ใช้กำลังไฟฟ้าถึง 800 &ndash; 1,000 วัตต์ คิดเป็นเงิน 3.17 &ndash; 3.96 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 9 เครื่องเป่าผมและเตาไมโครเวฟ</h3>
<p>เครื่องใช้ทั้ง 2 ชนิดนี้มีการใช้กำลังไฟฟ้าเท่ากันที่ 100 &ndash; 1,000 วัตต์ คิดเป็นเงิน 0.4 &ndash; 3.96 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 10 เครื่องชงกาแฟ</h3>
<p>ถึงแม้ว่าเราจะสามารถชงกาแฟด้วยตัวเองได้ แต่การใช้เครื่องชงกาแฟก็ย่อมสะดวกกว่าการชงมือ โดยเครื่องใช้ชนิดนี้ใช้กำลังไฟฟ้า 200 &ndash; 600 วัตต์ คิดเป็นเงิน 0.8 &ndash; 2.38 บาทต่อชั่วโมง</p>
<h3>อันดับ 11 โทรทัศน์สี</h3>
<p>สิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้เราสามารถติดตามข่าวสารบ้านเมืองได้อย่างทันเหตุการณ์ บ้างก็ไว้เสพเพื่อความบันเทิงชนิดนี้ ใช้กำลังไฟฟ้า 80 &ndash; 180 วัตต์ คิดเป็นเงิน 0.32 &ndash; 0.71 บาทต่อชั่วโมง</p>
<p>ต้องขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ได้เปิดเผยผลสำรวจในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นของ<strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>บางชนิด ภายหลังจากที่ทราบการคิดค่าไฟแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานเครื่องใช้เหล่านี้ได้หาวิธีประหยัดค่าไฟเพิ่มเติมด้วย&nbsp;</p>

เปิด 11 อันดับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่กินไฟมากที่สุด

<p><strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>นับเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับความเป็นอยู่ภายในบ้าน การรู้จักวิธีการดูแลรักษาเครื่องมือเครื่องใช้เหล่านี้ให้มีความพร้อมต่อการทำงาน นับเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับการรักษาและยืดอายุการใช้งาน เครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมศึกษาถึงวิธีการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ให้อยู่ด้วยกันและสามารถใช้ประโยชนืได้ในเวลานานร่วมกัน</p>
<h2>เทคนิคการดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านประเภทต่าง ๆ</h2>
<p>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ติดบ้านแทบทุกแห่ง ได้แก่ หลอดไฟให้ความสว่าง ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ และ อุปกรณ์การทำอาหารที่ใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงาน ควรได้รับการดูแลอย่างเฉพาเจาะจงดังต่อไปนี้</p>
<h3>1. การดูแลรักษาหลอดไฟให้ความสว่าง</h3>
<p>หลอดไฟให้ความสว่าวทุกจุดภายในบ้าน แม้จะเป็นหลอดยุคใหม่ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่การใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด คือการใช้งานในเฉพาะช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรเปิดหลอดไฟทิ้งไว้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้ เป็นการช่วยยืดอายุการทำงานของหลอดไฟให้มีอายุการใช้งานยาวนานเพิ่มขึ้น</p>
<h3>2. การดูแลรักษาตู้เย็น</h3>
<p>เรียกได้ว่า ตู้เย็นเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแทบทุกครัวเรือน แม้ว่าวัตถุประสงค์หลักของการมีตู้เย็นคือการเก็บรักษาอาหาร แต่โดยส่วนใหญ่มักใช้ตู้เย็นเพื่อการทำการทำน้ำเย็น การดูแลรักษาตู้เย็นที่เหมาะสมที่สุด คือ การใช้อุณหภูมิในการทำความเย็นที่เหมาะสม เมื่อใดที่มีนำแข็งเกาะในช่องแช่เย้ฯควรกดทำละลายเพื่อไม่ให้ตู้เย็นทำงานหนักเกินไป</p>
<h3>3. การดูแลรักษาโทรทัศน์</h3>
<p>การเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เป็นเครื่องคลายเหงา นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการลดอายุการใช้งานของจอภาพโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองกระแสไฟฟ้าโดยใช้เหตุ ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นเกินความจำเป็น เมื่อใดก็ตามที่คิดว่า ไม่จำเป็นที่ต้องใช้โทรทัศน์ ควรปิดและถอดปลั๊กให้เรียบร้อย</p>
<h3>4. การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ</h3>
<p>นับเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช่กระแสไฟมากที่สุด ดังนั้น การขาดการซ่อมบำรุงที่เหมาะสม ย่อมทำให้เครื่องปรับอากาศมิอาจใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังเป็นการสิ้นเปลืองการใช้กระแสไฟฟ้า การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศควรทำความสะอาดแผ่นกรองฝุ่นตามรอบอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้งรวมไปถึงการทำความสะอาดห้องอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการเกาะของฝุ่นในทางเดินอากาศของเครื่องปรับอากาศ และอย่างน้อยที่สุดทุก ๆ สามเดือนควรทำการล้างตู้แอร์ทั้งระบบพร้อมเช็คน้ำยาแอร์ เพื่อให้เครื่องปรับอากาศมีความพร้อมในการใช้งานอยู่เสมอ</p>
<h3>5. การดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าในการประกอบอาหาร</h3>
<p>เครื่องใช้ไฟฟ้าในการประกอบอาหาร อาทิ หม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้า หรือตู้ไมโครเวฟ เป็นต้น การทำความสะอาดโดยการล้างถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะถ้ามีหยดน้ำหรือความชื้นติดค้างตามแผงวงจร อาจก่อให้เกิดการลัดวงจรทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ เสียหายได้</p>
<p>และสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการดูแล<strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>คือทุกครั้งเมื่อไม่มีความจำเป็นในการใช้งาน ควรถอดปลั๊กไฟทุกครั้งเพราะการเสียบปลั๊กคาไว้ เป็นการทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา เป็นการบั่นทอนอายุการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ ลงอย่างไม่ควรจะเป็น อีกทั้งยังก่อให้เกิดความร้อนจนอาจเป็นสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในบ้านอีกด้วย ดังนั้นการดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสม นอกจากเป็นการเพิ่มอายุการใช้งาน ยังช่วยเป้นการประหยัดไฟภายในบ้านได้อีกด้วย&nbsp;</p>

การถนอมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านแต่ละประเภท ทำแบบนี้ได้นาน

<p>การระบาดของโรคโควิด-19 นั้นต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เป็นแบบ New Normal ที่ทำงานบางแห่งถึงกับสั่งให้พนักงานทำงานที่บ้านแทน งานก็ต้องสู้ สุขภาพก็ต้องเซฟ เพื่ออำนวยความสะดวกให้การ Work from home เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะพาไปชม<strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>ที่ควรมีในช่วงนี้ มีติดบ้านไว้อุ่นใจกว่า ใช้ง่ายไม่รบกวนเวลาทำงาน</p>
<h2>1. หม้อทอดไร้น้ำมัน</h2>
<p>หม้อทอดไร้น้ำมัน (Air fray) เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านยอดฮิตในช่วงโควิด-19 เป็นอย่างมาก เพราะสะดวกและรวดเร็วตามคอนเซ็ปต์ของคนยุคใหม่ที่อยากจะมีสุขภาพดีแต่อยากจะการรับประทานของทอดที่ไร้น้ำมัน เพียงเเค่เลือกอาหารที่ต้องการเเละเทใส่ลงในหม้อทอดไร้น้ำมัน จากนั้นก็ปรับองศาไฟตามความเหมาะสมของอาหาร ไม่ต้องยืนเฝ้า ไม่ต้องกลัวไหม้ &nbsp;เหมาะสำหรับในช่วง Work from home ที่สุด</p>
<h2>2. เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ</h2>
<p>เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติก็เปรียบเสมือนคนใช้ในบ้านที่เก็บกวาดพวกเศษฝุ่นต่าง ๆ ตามใต้โต๊ะ ใต้เก้าอี้ที่มาจากภายนอก มีเสียงที่เงียบไม่รบกวนเวลาทำงานและที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลามาทำความสะอาดบ้านเอง สะดวกและประหยัดเวลา ลดฝุ่น สูดอากาศได้เป็นปอด ห่างใกล้ต่อโรคภูมิแพ้อีกด้วย</p>
<h2>3. ที่ชาร์จแบตไร้สาย</h2>
<p>ที่ชาร์จแบตไร้สาย ( Wireless Charging ) เป็นเครื่องแท่นที่ไว้สำหรับชาร์จแบตมือถือเพียงแค่วางมือถือลงบนแท่นก็สามารถชาร์จแบตมือถือได้แล้วเพราะเป็นระบบแบบสัมผัสไร้สาย เครื่องชาร์จแบตไร้สายนั้นมีความสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียบหัวชาร์จสามารถประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย</p>
<h2>4. เครื่องกลั่นน้ำชาหรือกาแฟ</h2>
<p>หลาย ๆ คนที่ทำงานประจำมักจะติดเครื่องดื่มคาเฟอีนจำพวก ชาหรือกาแฟ ซึ่งเครื่องกลั่นน้ำนั้นก็ตอบโจทย์สำหรับคนที่ติดชาหรือกาแฟเป็นอย่างมากในช่วงเวลาทำงานอยู่บ้าน มีความประหยัดเวลาไม่ต้องมาเฝ้าดูเอง ได้ความเข้มข้นที่แท้จริง มีความสดใหม่เหมือนกับตามร้านเครื่องดื่ม</p>
<h2>5. เครื่องนวดคอไฟฟ้า</h2>
<p>หลาย ๆ คนอาจจะทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน บางครั้งก็มีความรู้สึกปวดเมื่อยตามตรงต้นคอในขณะที่ทำงานและเครื่องนวดคอไฟฟ้านั้นก็ตอบโจทย์ผู้คนที่ประสบปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องไปนวดแบบแผนโบราณให้เสียเวลา เพียงแค่ใช้เครื่องนวดคอไฟฟ้าว่างไว้ตรงลำคอและกดสวิตซ์เพียงเท่านี้ก็ช่วยทำให้รู้สึกคลอนคลายจากการปวด เมื่อย เหนื่อยล้าตรงต้นคอได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ในขณะตอนที่กำลังทำงานอยู่ได้วย</p>
<p>นี่คือ 5 <strong>เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน</strong>ที่ควรมีในช่วง Work from home ที่ได้รวบรวมมาให้รับชมล้วนแต่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ลองเลือกมาใช้กันดูเพื่อความประหยัดเวลาและความสะดวกสบาย ไม่ยุ่งยาก เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้นำเสนอมานั้นล้วนใช้เพียงแค่ปลายนิ้วในการใช้งาน ไม่มีความซับซ้อนเหมาะสำหรับคนที่ต้องการโฟกัสอยู่แค่เพียงการทำงานอย่างเดียว &nbsp;</p>

5 เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ควรมีในช่วง Work from home

เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน

เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นแบบไหนให้ประหยัดค่าไฟ

<p>ฤดูร้อนกำลังมา และดูท่าทางพัดลมธรรมดาจะเอาไม่อยู่ นาทีต้องให้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ช่วย แต่แอร์ขนาดเท่าไรถึงเหมาะสมกับขนาดห้องของเรากับแน่ Baania นำเทคนิคการเลือกแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้องมาแนะนำกัน ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเราจะต้องติดแอร์กี่ BTU เผื่อใครจะทำไปปรับใช้ จะได้ไม่เปลืองค่าไฟ และไม่เปลืองค่าซื้อแอร์ที่ขนาดใหญ่เกินไป</p>
<h2>BTU แอร์ คืออะไร</h2>
<p>บีทียู (BTU) ของแอร์นั้น คือ British Thermal Unit เป็นหน่วยที่ใช้ปริมาณความร้อนในเครื่องเย็นและเครื่องปรับอากาศ โดยปกติแล้วความร้อน 1 BTU จะหมายถึงปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ (0.45 กิโลกรัม) มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ (0.56 องศาเซลเซียส) ซึ่งเครื่องปรับอากาศนั้นจะวัดกำลังความเย็นหรือความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากห้องในหน่วยบีทียูต่อชั่วโมง (BTU/hr)</p>
<h2>ถ้าเลือก BTU สูงไปจะเกิดอะไร</h2>
<p>ถ้าหากเราเลือก BTU สูงมากเกินไป คอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานตัดบ่อยเกินไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ความชื้นในห้องก็จะสูงขึ้น ทำให้ไม่สบายตัวได้ ที่สำคัญจะทำให้เราเสียเงินซื้อแอร์ที่ขนาดใหญ่เกินในราคาแพง และเปลืองค่าไฟ</p>
<h2>ถ้าเลือก BTU ต่ำไปจะเกิดอะไร</h2>
<p>ถ้าหากเราเลือก BTU ที่ต่ำเกินไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์จะทำงานตลอดเวลา ความเย็นในห้องจะไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ส่งผลให้เปลืองไฟและอาจทำให้แอร์เสียง่าย</p>
<h2>สูตรการคำนวณ BTU &nbsp;</h2>
<p>สูตรในการคำนวร BTU นั้นจะเกิดจากการหาขนาดห้องในแบบกว้างคูรยาวในหน่วยวัดเป็นเมตร และนำมาคูณกับตัวแปรหรือความแตกต่าง เช่น หน้าต่างและมุมต่างของห้อง, ทิศทางของแดดที่เข้าห้อง, วัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อน, จำนวนคนในห้องนั้นๆ โดยมีสูตรคำนวณดังนี้ครับ</p>
<p>BTU = &nbsp;พื้นที่ห้อง ( กว้าง x ยาว ) x ความแตกต่าง</p>
<p>ความแตกต่างจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ</p>
<p>1. 600 - 700 = ห้องปกติ มักใช้แอร์เฉพาะกลางคืน <br />2. 700 - 800 = ห้องที่แดดเข้า มักใช้แอร์ในเวลากลางวันและกลางคืนด้วย</p>
<h2>แอร์กี่ BTU ถึงเหมาะกับห้องเรา</h2>
<p>&nbsp;เรามาดู BTU แอร์กับขนาดห้องแบบคร่าวๆ กันครับว่าขนาดห้องของเรา ควรใช้แอร์กี่ BTU กันแน่</p>
<p><img src="https://cdn.baania.com/b20/article/source/1615102339471-แอร์กี่ BTU-info copy.jpg" alt="BTU แอร์" width="608" height="760" /></p>
<p>คงได้คำตอบกันแล้วว่าต้องติดแอร์กี่ BTU ถึงเหมาะกับห้องเรา ใครที่กำลังจะไปซื้อแอร์มาติดในช่วงหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ อย่าลืมคำนวณขนาดห้องกับ BTU แอร์ให้ดีก่อนนะครับจะได้เสียเงินได้อย่างคุ้มค่าสบายทั้งกายและใจ</p>

ปก.jpg

แอร์กี่ BTU ถึงเหมาะกับห้องเรา

<p><strong>แอร์</strong> หรือ เครื่องปรับอากาศ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญชิ้นหนึ่งภายในบ้านที่เปลี่ยนช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับอากาศร้อนแสนอบอ้าว กลายเป็นอากาศที่เย็นชื่นใจ แต่ถึงกระนั้นการดูแลรักษาเครื่องทำความเย็นชนิดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจละเลยหรือมองข้ามไปได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่จะได้อากาศเย็นสดชื่น กลับอาจได้สัมผัสเพียงสายลมอันแผ่นเบา เป็นภาระที่ต้องจัดการซ่อมแซมแก้ไขให้กลับคืนสภาพดีดังเดิม<br />&nbsp;<br /><strong>เรียนรู้วิธีการดูแลรักษา เครื่องปรับอากาศด้วยตนเองในทุกขั้นตอน</strong></p>
<p>โดยทั่วไปแล้ว ควรทำความสะอาดด้วยการล้างทั้งระบบประมาณ 4-6 เดือนต่อครั้ง รวมไปถึงการเติมน้ำยาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง แต่ถึงกระนั้น การซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ แล้วการดูแลขั้นพื้นฐานที่เจ้าของบ้านควรใส่ใจ เรียกรู้และในไปปฏิบัติได้มีอะไรบ้าง</p>
<h2>1. การล้างและทำความสะอาดแผ่นกรองฝุ่นและฟิลเตอร์</h2>
<p>หนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้ระบบทำความเย็นไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ คือการปล่อยให้ฝุ่นเกาะเกรอะกรังในบริเวณแผ่นกรองฝุ่นและฟิลเตอร์ดักจับสิ่งสกปรก ซึ่งแผ่นกรองสองชนิดนี้สามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ โดยทั่วไป ควรถอดแผ่นกรองออกมาล้างประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง แต่ถ้าช่วงใด อากาศแห้ง มีฝุ่นมาก ก็สามารถถอดออกมาทำความสะอาดบ่อยครั้งขึ้น</p>
<h2>2. การทำความสะอาดห้องเป็นประจำสม่ำเสมอ</h2>
<p>วิธีการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศให้มีประสิทธิภาพเต็มที่ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ คือการดูแลความสะอาดของห้องอยู่เสมอ เพราะการทำความสะอาดห้องเป็นประจำ จะช่วยลดการสะสมฝุ่นละอองภายในห้องที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้แผ่นกรองฝุ่นอุดตัน ซึ่งจะส่งผลต่อระบบท่อน้ำอากาศอุดตันได้เร็วขึ้น เพราะความชื้นในระบบท่อจะจับตัวกับฝุ่นละออกในอากาศกลายเป็นผลึกน้ำแข็งเกาะในท่อเดิมอากาศจนกลายเป็นการอุดตันที่ต้องใช้เวลาและจ่ายราคาในการซ่อมบำรุงพอสมควร</p>
<h2>3. ตรวจสอบสภาพห้องให้พร้อมในการใช้งาน</h2>
<p>เมื่อใดก็ตามที่ต้องการเปิดเครื่องปรับอากาศสำหรับทำความเย็นให้แก่ห้องของคุณ ควรตรวจสอบให้เรียบร้อยว่ามีเหตุปัจจัยอันใดหรือไม่ที่จะทำให้เครื่องทำความเย็นนี้ทำงานหนักเกินควร เช่น อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดความร้อนในห้องหรือไม่ ไมเครเวฟ กาต้มน้ำร้อนที่ยังทำงานอยู่ ควรปิดให้เรียบร้อยก่อนการเปิด รวมไปถึงการปิดหน้าตา ประตูให้สนิท ถ้าเป็นไปได้หากห้องเปิดโล่งควรมีผ้าม่านปิดซักหนึ่งชั้น เพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในห้องให้เย็นคงที่</p>
<h2>4. เปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้ง ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมเสมอ</h2>
<p>อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งค่าคือ 25 องศาเซลเซียส ถ้าปรับให้เย็นไปกว่านั้น เครื่องแอร์จะทำงานหนัก และกินไฟสูง ถ้าต้องการปรับลดอุณหภูมิลง ลองจัดห้องให้โล่ง ไม่มีสิ่งใดบังการไหลเวียนของลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็จะช่วยให้อากาศในห้องเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว</p>
<p>เทคนิคเล็ก ๆ น้อยในการดูแล <strong>แอร์ </strong>ให้ทำงานผลิตอากาศเย็นอย่างเต็มประสิทธิภพาเสมอ ซึ่งหลาย ๆ ขั้นตอนแทบไม่เกี่ยวข้องกับการซ่อมตัวเครื่องโดยตรง เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เครื่องปรับอากาศก็พร้อมผลิตความเย็นให้อย่างเต็มที่ไปนาน ๆ</p>

วิธีการดูแลแอร์อย่างง่ายทำได้ด้วยตัวคุณเอง

<p>ประเทศที่มีฤดูร้อนเกือบทั้งปีแบบบ้านเรา ทุกคนจึงเลือกที่จะใช้เครื่องปรับอากาศหรือ<strong>แอร์</strong>เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการปรับอุณหภูมิภายในบ้าน โดยระบบที่นิยมติดกันมากที่สุดคือแบบแยกส่วน (Split Type) &nbsp;มีลักษณะการทำงานแบบแยกส่วนที่เป่าลมเย็นออกจากตัวเครื่องระบายความร้อน บางบ้านที่กำลังจะติดเครื่องปรับอากาศแต่กลัวเลือกไม่สอดคล้องกับการใช้งาน สามารถนำข้อแนะนำต่อไปนี้ไปเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกได้นะ</p>
<h2>1. เลือกขนาดบีทียูให้เหมาะสมกับขนาดห้อง &nbsp;</h2>
<p>ซึ่งนอกจากพื้นที่ของห้องที่จะนำมาพิจารณาในส่วนนี้แล้ว &nbsp;ทิศทางและช่วงเวลาของแสงแดดที่ส่องโดนห้องเรานั้นก็มีส่วนสำคัญในการเลือกขนาดบีทียู &nbsp;เพราะหากเราเลือกบีทียูน้อยไป &nbsp;จะทำให้แอร์ทำงานตลอดเวลาเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า &nbsp;และทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าปกติ &nbsp;รวมถึงทำให้อุณหภูมิภายในห้องไม่เย็นเท่าที่ควร &nbsp;แม้แต่การเลือกบีทียูที่มากกว่าขนาดห้องก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อผู้ใช้งาน &nbsp;เนื่องจากระบบจะเปิดปิดเองตลอดเวลา &nbsp;ส่งผลให้ค่าไฟแพงขึ้น &nbsp;และระบบไม่สามารถลดความชื้นในอากาศได้ส่งผลเกิดมลพิษทางอากาศภายในห้อง</p>
<h2>2. เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ดีอย่างไร &nbsp;</h2>
<p>การทำงานของคอมเพรสเซอร์ ควบคุมด้วยเทอร์โมสตัทที่จะสั่งให้คอมเพรสเซอร์ตัดหรือต่อ การทำงานในลักษณะนี้ ทำให้ช่วงการควบคุมอุณหภูมิอยู่ในช่วงประมาณ 2 องศา เมื่อไหร่ก็ตามอุณหภูมิภายในห้องสูงกว่าที่ตั้งไว้เกิน 2 อาศา คอมเพรสเซอร์จะทำงานเกิดการกระชากของไฟ ดังนั้น จึงเกิดเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่าอินเวอร์เตอร์ ที่ควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์โดยการปรับรอบของคอมเพรสเซอร์ ทำให้การควบคุมอุณหภูมิสม่ำเสมอขึ้นและไม่เกิดไฟกระชาก ทำให้ประหยัดไฟและความเย็นภายในห้องคงที่&nbsp;</p>
<h2>3. การเตรียมพื้นที่สำหรับติดเครื่องปรับอากาศ &nbsp;</h2>
<p>ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้วอุณหภูมิในห้องควรเย็นสบาย สามารถควบคุมความชื้นได้ &nbsp;สำหรับในห้องนอนองศาการตกของลมที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศไม่ควรตรงกับบริเวณศีรษะหรือทิศทางของลมเข้าสู่ระบบการหายใจโดยตรง &nbsp;ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว</p>
<p>หากบ้านไหนมีความสูง 2-3 ชั้น อย่าลืมเรื่องการบำรุงษาเครื่องระบายความร้อนที่ตั้งอยู่นอกอาคาร ที่จะต้องมีทางออกไปสู่เครื่องได้ต้องมีที่ยืนที่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการล้างเครื่อง ซ่อมเครื่อง หรือเติมน้ำยาสำหรับผู้ที่ออกไปซ่อมบำรุง</p>
<p>เมื่อมีข้อมูลประกอบการติดสินใจในการเลือกซื้อ<strong>แอร์</strong>แล้ว &nbsp;ก็เลือกซื้อกันได้ตามท้องตลาดโดยแต่ละยี่ห้อก็จะมีเทคโนโลยีต่างๆ และการบริการหลังการขายเป็นโปรโมชั่นที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น &nbsp;เมื่อเลือกซื้อและติดตั้งเพื่อใช้งานแล้ว &nbsp;อย่าลืมศึกษาการบำรุงรักษาด้วยตัวเองเนื่องจากจะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแล้วยังช่วยประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่งด้วย</p>

วิธีเลือกแอร์ให้เหมาะกับพื้นที่ใช้สอย

แอร์

Guest

เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน