9 ขั้นตอน ปลูกแตงกวา เองง่ายๆ ที่บ้าน

แตงกวา ผักแกล้มและวัตถุดิบของอาหารที่รสชาติอร่อยโดนใจ การ ปลูกแตงกวา เอาไว้ในบ้านจึงช่วยให้คุณแม่บ้านสร้างสรรค์เมนูอาหารแสนอร่อยได้หลากหลาย รวมถึงยังมีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะสาว ๆ ที่อยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ดูสุขภาพดี บทความนี้จึงอยากแนะนำขั้นตอนในการปลูกซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ใครก็สามารถทำได้

1. พื้นที่

ด้วยแตงกวาเป็นพืชไม้เลื้อยจึงอาจใช้พื้นที่ค่อนข้างมากแม้จะปลูกในกระถางก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องจัดสรรพื้นที่ในบ้านของตนเองก่อนการปลูกให้ดี เริ่มจากกะระยะพื้นที่ในการปลูกว่าจะใช้ทั้งหมดกี่กระถาง ซึ่งระยะของกระถางควรห่างจากกันราว ๆ 60 เซนติเมตรเพื่อไม่ให้เกิดการพันกันของกิ่งก้าน พร้อมทั้งจัดการวัชพืชต่าง ๆ โดยรอบให้หมดไปจะได้ไม่เป็นตัวแย่งน้ำและอาหารของแตงกวา

2. กระถาง

กระถางสำหรับการปลูกผักชนิดนี้ต้องแยกออกเป็น 2 แบบ แบบที่ 1 คือ กระถางสำหรับเพาะกล้าซึ่งไม่ต้องขนาดใหญ่มากนัก แต่เน้นให้ระบายน้ำได้ดี สำหรับกระถางแบบที่ 2 ก็มีลักษณะคล้าย ๆ กันแต่ขนาดจะใหญ่กว่าเพื่อให้ต้นแตงกวาสามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ จากนั้นนำกรวดใส่ลงไปทั้ง 2 กระถางเพื่อเป็นการรองก้นและช่วยเรื่องการระบายน้ำ ลดการเกิดความชื้นอันเป็นสาเหตุของเชื้อราที่จะทำให้แตงกวาตาย

3. ดิน

สำหรับดินที่ใช้เพื่อให้แตงกวางอกงามได้ดีต้องเป็นดินร่วนปนทราย เนื่องจากดินประเภทนี้ช่วยเรื่องการระบายน้ำ รากของแตงกวาจะดูดสารอาหารเข้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งไม่ทำให้รากเน่าด้วย เมื่อได้ดินที่ต้องการแล้ว ก็นำมาผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดในอัตราส่วน 50:50 แต่ด้วยการปลูกกับกระถางจึงควรเพิ่มเศษใบไม้เข้าไปอีกเล็กน้อยก็จะสามารถช่วยในเรื่องการปรับหน้าดินให้คล้ายกับลงแปลงปลูกแตงกวาได้

4. เมล็ดพันธุ์

ต้องย้ำเสมอว่า การเลือกเมล็ดพันธุ์แตงกวาเพื่อนำมาใช้ปลูกนั้นต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงเท่านั้น ทั้งนี้ด้วยสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวิธีในการคัดเลือกเมล็ดให้ดี ถ้าหากบ้านไหนรู้ว่าพื้นที่ตนเองเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดได้ง่าย ควรเลือกสายพันธุ์แตงกวาที่ทนต่อโรคได้ดี แม้ว่าปลูกแล้วอาจจะได้ผลไม่มากนักแต่ต้นแตงกวาก็จะไม่ติดโรคจนตาย ส่วนพื้นที่ไหนที่ปลอดโรคก็สามารถเลือกพันธุ์ที่ให้ผลมากได้

5. เพาะต้นกล้า

ดังที่กล่าวไปว่า การจะปลูกต้นแตงกวาต้องมีกระถางสำหรับเพาะต้นกล้าก่อน ฉะนั้นเมื่อเตรียมเมล็ดพันธุ์เรียบร้อยแล้ว ให้เทดินที่ผสมแล้วลงไปในกระถางที่รองด้วยกรวดจนเต็ม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกกระถาง จัดการขุดดินลงไปให้ลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร แต่ละกระถางจะมีกี่หลุมก็ขึ้นอยู่กับขนาด จากนั้นหยอดเมล็ดแตงกวาลงไปหลุมละ 4-5 เมล็ด แต่อย่าให้ซ้อนทับกันเพราะต้นกล้าอาจจะตายได้ เน้นโรยแบบกระจายให้ทั่วหลุม รดน้ำให้ชุ่มและสังเกตว่าน้ำระบายดีหรือไม่

6. ไม้

ด้วยแตงกวาเป็นพืชล้มลุก เมื่อเริ่มปลูกไปได้สักระยะต้องหาไม้มาพาดวางเอาไว้เพื่อให้ต้นได้เลื้อยงอกงาม อาจใช้ไม้ขนาดเล็ก เช่น ตะเกียบ หรือเหลาไม้ไผ่ให้เส้นผ่าศูนย์กลางราว ๆ 3-5 เซนติเมตร จากนั้นนำไปปักรอเอาไว้ที่กระถางใหญ่ เพื่อเตรียมย้ายแตงกวาจากกระถางเพาะกล้าสู่กระถางจริงที่จะให้พวกมันเติบโตด้วยการเลื้อยตามไม้ที่ปักไว้ บางคนอาจทำเป็นโครงไม้พาดด้านบนคล้ายโครงหลังคาก็ได้เช่นกัน

7. อาหาร

แตงกวาเป็นพืชที่ชอบน้ำระดับหนึ่ง ดังนั้นการหมั่นรดน้ำบ่อย ๆ จะช่วยให้แตงกวาเจริญเติบโตได้ดี แต่ทั้งนี้สิ่งสำคัญคืออย่ารดจนแฉะเกินไปเพราะอาจทำให้รากเน่า ต้นตายได้ ควรให้ต้นแตงกวาออกไปสัมผัสกับแสงแดดรำไรในยามเช้า และควรเก็บเข้าร่มที่แสงแดดพอส่องถึงบ้านในช่วงเวลาที่เหลือ ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมี แค่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่ใช้ปลูกก็เพียงพอทำให้ต้นแตงกวาเติบโตแล้ว

8. ศัตรูและโรค

ศัตรูพืชที่มักทำร้ายแตงกวาได้มากที่สุดคือ เพลี้ยไฟ, แมลงหวี่ขาว, และด้วงเต่าแดง ส่วนโรคที่มักเกิดก็คือ โรคราน้ำค้าง ซึ่งไม่ได้เกาะอยู่ทุกต้น ดังนั้นหากเห็นว่าต้นไหนที่มีศัตรูพืชหรือเกิดโรคขึ้นให้รีบเด็ดออกแล้วนำไปจัดการเผาทิ้งเพื่อไม่ให้กระจายไปสู่ต้นอื่น ๆ อีกทั้งควรรดน้ำให้โดนทุกส่วนของต้นเป็นการกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้กระเด็นออกไม่มารบกวนต้นแตงกวาของคุณนั่นเอง

9. การปลูกแตงกวา

ข้อสำคัญในการปลูกเพื่อได้ผลแตงกวาที่ดีคือ เมื่อเริ่มเห็นต้นกล้างอกออกมาราว ๆ 5-7 เซนติเมตร ให้จัดการถอนต้นกล้าที่สภาพไม่แข็งแรงออกจนหมด แล้วแต่ละกระถางให้เหลือกล้าดีที่สุดเพียง 2 ต้น ให้ถอนต้นกล้าเหล่านั้นอย่างเบามือไม่ให้รากขาด เพื่อย้ายไปไว้ในกระถางใหญ่ที่เตรียมไม้เอาไว้สำหรับให้เลื้อยเรียบร้อยแล้ว หมั่นดูแลรดน้ำ กำจัดศัตรูพืช เท่านี้ก็ทำให้ต้นแตงกวาได้ผลดีตามต้องการ

 
จากขั้นตอนทั้งหมดนี้จะเห็นว่าการ ปลูกแตงกวา ไม่ใช่เรื่องยากเลย ใครที่ชื่นชอบทานแตงกวาแกล้มอาหารหรือนำไปทำเมนูอาหารแนะนำว่าให้ลองปลูกไว้ในสวนบ้านของตนเอง นอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายในการไปซื้อแล้ว ยังมีกิจกรรมดี ๆ ทำไม่น่าเบื่ออีกด้วย ไม่แน่อาจกลายเป็นรายได้เสริมให้คุณได้เลย