8 มาตรการดูแลชุมชน ช่วงโควิด-19

วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและใกล้ที่ทำงาน ทำให้การพักอาศัยในรูปแบบของคอนโดมิเนียมในไทยได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของการซื้อเพื่อลงทุน และซื้อเพื่ออยู่เอง

เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้นอย่างเช่นสถานการณ์โควิด-19 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนที่พักอาศัยร่วมกันในคอนโดมิเนียมต้องเริ่มหันกลับมาใส่ใจในกันและกันมากขึ้น รวมถึงต้องทำความเข้าใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารอาคารอย่างเคร่งครัด

• ใช้ชีวิตอยู่คอนโดที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากยิ่งต้องระวัง
• มาตรการดูแลความปลอดภัยเป็นหัวใจของการห่างไกลจากโควิด-19

เริ่มต้นทำความเข้าใจการทำงานและข้อปฏิบัติ เมื่อพบว่าในคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยอยู่นั้นมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากประสบการณ์ของบริษัท ลุมพีนี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทบริหารจัดการชุมชนในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN โดยมาตรการมีดังนี้

8 มาตรการในการดูแลในชุมชนในสถานการณ์​โควิด-19
1. การคัดกรอง ผู้ที่เข้ามาติดต่อนิติบุคคลอาคารชุด หรือผู้รับเหมาที่เข้ามาทำงานในอาคาร ด้วยเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพ  โดยที่ในแต่ละอาคารจะมีประจำในแต่ละนิติบุคคล เพื่อคัดกรองผู้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นด่านแรกที่จะแพร่เชื้อโรคเข้าสู่ชุมชน

2. ในส่วนของอาคารสำนักงาน เช่น ลุมพินี ทาวเวอร์ ที่มีผู้เข้ามาติดต่อเข้า-ออกอาคารจำนวนมากกว่า 7,000 คนในแต่ละวัน  การจัดการทำได้โดยการกำหนด เส้นทางแยกผู้เข้า-ออกอาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรอง สร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีใครหลุดรอดจากการคัดกรองอย่างแน่นอน

3. จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการรักษาความสะอาด เช่น น้ำยาล้างมือภายในห้องน้ำส่วนกลางทุกห้อง และ แอลกอฮอลล์แบบเจล บริเวณทางเข้า-ออก Lobby รวมถึงหน้าลิฟต์ และห้องสันทนาการต่างๆ ในอาคาร

4. เข้มงวดด้านการรักษาความสะอาด โดยเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น มือจับประตู ปุ่มกดลิฟต์ ทั้งยังต้องมีเจ้าหน้าที่คอยทำความสะอาดทุก 30 นาทีถึง1 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังต้องลดจำนวนผู้ใช้ลิฟท์ในแต่ละรอบเพื่อป้องกันความแออัดด้วยการตีตารางและกำหนดจุดยืนของผู้ใช้ลิฟท์ให้มีระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 

5. ฉีดพ่นทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และการเช็ดทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนในระดับ  Deep Cleaning โดยเฉพาะในจุด in door ที่มีการใช้พื้นที่ร่วมกัน เช่น Lobby  และ ลิฟต์ชั้น G   หรือแม้แต่บริเวณพื้นที่เปิดโล่ง เช่น Sky Lounge  

ทั้งนี้พื้นที่ภายในสำนักงานนิติบุคคลฯ ที่เจ้าของร่วมจะเข้ามาติดต่ออย่างสม่ำเสมอ  โดยปิดให้บริการในบางพื้นที่ อาทิ  ห้องอเนกประสงค์  ห้องเด็ก ห้องออกกำลังกาย   สระว่ายน้ำ

 6. กำหนดให้เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย และเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน    หากพบมีอาการป่วย ไอ เป็นไข้ ให้หยุดปฏิบัติงานทันที โดยสังเกตอาการตนเอง พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาจนกว่าจะหาย หรือกรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศจะให้หยุดงานเพื่อเฝ้าระวัง 14 วัน

7.ในกรณีที่เจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เมื่อกลับเข้าพักอาศัยในอาคารชุด ควรให้ความร่วมมือในการกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน พร้อมกับแจ้งฝ่ายจัดการทันที โดยทำการเฝ้าระวังโดยสังเกตว่ามีอาการไอ จาม มีไข้หรือไม่

ตลอด 14 วันของการกักตัวทางทีมงานผู้บริหารอาคารจะต้องมีหน้าที่อำนวยความสะดวกเรื่องอาหารและสิ่งจำเป็น รวมถึงต้องใช้หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกมาบริเวณพื้นที่ส่วนกลางและมีการพบแพทย์ทันทีที่มีอาการผิดปกติ หากพบว่ามีอาการต้องรีบติดต่อฝ่ายจัดการหรือกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422 เพื่อทำการตรวจสอบโดยเร็ว

8.กำหนดให้มีมาตรการคัดกรองผู้เช่าพักอาศัย และผู้เข้า-ออกอาคารที่เป็นชาวต่างชาติ จะต้องแสดงเอกสารหรือหนังสือรับรองจากแพทย์หรือสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ ว่ามีสุขภาพที่ปกติ ไม่เจ็บป่วยก่อนถึงจะเข้าพักอาศัยได้ รวมทั้งต้องยินยอมให้ตรวจวัดอุณหภูมิ หากพบว่าผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมคนใดมีไข้สูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ผู้บริหารอาคารต้องทำความเข้าใจและไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเข้าพักในอาคารโดยสื่อสารไปยังเจ้าของร่วม นักลงทุน ให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบผู้ที่จะให้เช่าเพื่อร่วมกับฝ่ายนิติบุคคลเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการขยายกลุ่มผู้ติดเชื้อให้มากขึ้น

จากทั้ง 8 มาตรการเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันทั้งผู้พักอาศัยและผู้บริหารชุมชน เพื่อให้การจัดการในภาวะที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านไปให้ได้ เพราะเรื่องของ “ความปลอดภัย” และห่างโรค เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมในเวลานี้