ตลาดสีทาอาคารในระยะหลังอาจจะดูเงียบๆ แผ่วๆ ลงไปเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่จริงๆ แล้ว การแข่งขันเพื่อชิงยอดขาย และขยายตลาดยังคงดำเนินต่อไป แต่อาจจะไม่ได้ปรากฏผ่านโฆษณาผ่านจอทีวี อย่างสีทนได้ ของทีโอเอ หรือ เบอร์เย่ เบเยอร์ คูลลลล ที่ดูกันจนติดตา
“หลายๆ คนคงเห็นตัวเลขที่ลดลง เลยต้องตัดเงินในส่วนของการโฆษณาออกไป” จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็น
ในส่วนของสีทีโอเอผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมาก็ถือว่าทรงๆ โดยมีรายได้การขายในปี 2561 อยู่ที่ 16,347 ล้านบาท เติบโต 4% จากปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,789 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายสีทาอาคาร 11,181 ล้านบาท หรือคิดเป็น 68.4% ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น จำนวน 4,583 ล้านบาท คิดเป็น 28% และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำนวน 583 ล้านบาท คิดเป็น 3.6%
การที่รายได้จากการขายของบริษัทยังคงเติบโดส่วนหนึ่งมาจากการปรับราคาประมาณ 5% เพื่อให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น กลุ่มสีทาอาคารเกรดพรีเมียมมียอดขายที่สูงขึ้น เช่นเดียวกัย รายได้จากการขายสีกลุ่ม Non-Dec. ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากการขายทุกช่องทางก็เพิ่มขึ้นด้วยโดยหลักๆ มาจากช่องทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และลูกค้าโครงการ ขณะที่ รายได้จากการขายทั้งในไทยและเออีซีเติบโตขึ้น โดยหลักมาจากประเทศเวียดนาม
สำหรับปี 2562 ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ก็ยังถือว่าพอประคองตัวไปได้ แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ไม่กระทบกับตลาดสีมากนัก เพราะการใช้สีส่วนใหญ่หรือ 70% จะเป็นบ้านเก่า ส่วนบ้านใหม่หรือบ้านในโครงการจะอยู่ที่ 30%
“ในปีนี้จะยังคงเป็นปีที่บริษัทที่จะต้องดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทั้งการ เร่งการเติบโตธุรกิจในประเทศไทย และการมุ่งขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตในเออีซี โดยตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 10% สำหรับตลาดในประเทศ จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้นนวัตกรรมสีใหม่ๆ และกระตุ้นให้เกิดการทาสีซ้ำบ่อยๆ มีบริการที่ครบวงจร รวมทั้งเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์”
ส่วนตลาดในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่คือตลาดในประเทศอาเซียน จะรุกขยายตลาดให้มากขึ้น รวมทั้งการสร้างฐานผลิตสีในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชา เพื่อเร่งกำลังการผลิต รองรับตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโรงงานผลิตสีที่อินโดนีเซียจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ส่วนโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา ที่เมียนมา และการสร้างโรงงานที่ประเทศกัมพูชา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3-4 นี้ จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 102 ล้านแกลลอน หรือเพิ่มขึ้น 16% จากปัจจุบัน 88 ล้านแกลลอน และจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในอีอีซีได้มากขึ้น
“ตลาดในอีอีซีนั้น อยู่ในช่วงของการสร้างแบรนด์ โดยการใช้ประโยชน์จากตราสินค้าทีโอเอที่แข็งแกร่ง ไปปรับใช้ในการขยายธุรกิจให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละประเทศ รวมถึงการเร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยการใช้จุดแข็ง ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และการกระจายเครื่องผสมสีอัตโนมัติในประเทศต่างๆ โดยขณะนี้สัดส่วนยอดขายในต่างประเทศอยู่ที่ 14% และภายใน 5 ปีจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20-25% ซึ่งยังมีอะไรที่ต้องทำอีกมาก”
ด้าน ประกรณ์ เมฆจำเริญ ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของบริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายของบริษัทคือการสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงให้ทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์ บริการ และการเป็นผู้นำในด้านต้นทุน ซึ่งเมื่อโรงงานทั้ง 4 แห่งสร้างเสร็จ จะทำให้บริษัทมีสินค้าที่มีราคาแข่งขันได้