Baania
Baania
จังหวัด
ประเภทประกาศ
ประเภทอสังหาริมทรัพย์
ราคา

บัญญัติ 10 ประการแก้โจทย์เศรษฐกิจ

x
คลิกที่นี่ เพื่อฟังบทความ

 

จดหมายเปิดผนึกจาก “เศรษฐา ทวีสิน”

“วิกฤติที่เกิดจากเชื้อ COVID-19 ครั้งนี้นับเป็นวิกฤติสังคมและเศรษฐกิจที่ผมคิดว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาตร์โลก เป็นความท้าทายอันหนักหน่วงของท่านนายกรัฐมนตรีและทีมงานซึ่งมองผ่านเลนส์คนทำธุรกิจ ผมเห็นด้วยกับแนวทางการรับมือในช่วงที่ผ่านมา โดยสามารถตัดสินใจได้ค่อนข้างเฉียบขาดและดำเนินมาตรการที่ แรง และ เร็ว เปรียบเหมือนฉีดยารักษาโรคให้แรงไว้ก่อน จัดการอาการป่วยหนักให้หาย จะมีผลข้างเคียงเล็กๆ น้อยๆ เราค่อยมารักษากันภายหลัง”  หนึ่งในข้อความจดหมายเปิดผนึก ที่  เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นำเสนอแนวคิดไว้ใน SANSIRI BLOG  และ twitter : Srettha Thavisin

วิกฤติที่เกิดจากเชื้อ COVID-19 ครั้งนี้นับเป็นวิกฤติสังคมและเศรษฐกิจที่ผมคิดว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาตร์โลก เป็นความท้าทายอันหนักหน่วงของท่านนายกรัฐมนตรีและทีมงานซึ่งมองผ่านเลนส์คนทำธุรกิจผมเห็นด้วยกับแนวทางการรับมือในช่วงที่ผ่านมา โดยสามารถตัดสินใจได้ค่อนข้างเฉียบขาดและดำเนินมาตรการที่ แรง และ เร็ว เปรียบเหมือนฉีดยารักษาโรคให้แรงไว้ก่อน จัดการอาการป่วยหนักให้หาย จะมีผลข้างเคียงเล็กๆ น้อยๆ เราค่อยมารักษากันภายหลัง

พอได้เห็นมาตรการเหล่านี้เริ่มส่งผลในทางที่ดี ผมจึงตั้งใจเขียนจดหมายเปิดผนึกนี้ถึงท่านนายกฯ เพื่อนำเสนอวัคซีนสูตรที่สองที่จะช่วยเสริมความเร็วและความแรงเพื่อกระตุ้นระบบเศรษกิจอันยวบยาบในระยะสั้นและกลางดังรายละเอียดต่อไปนี้

  1. การลดภาษี มาตรการที่จะใส่เงินเข้ามือประชาชนตรงที่สุดคือการลดภาษีบุคคลธรรมดาที่นอกจากเพิ่มกำลังซื้อแล้วยังเพิ่มแรงจูงใจให้คนทำงานมากขึ้นเป็นการเพิ่ม productivity อีกทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีเงินก็มีการจับจ่ายใช้สอยส่งผล multiplier effect ให้เกิดการบริโภค การผลิต การจ้างงาน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องลดภาษีนี้รัฐบาลเคยพูดไว้ตอนหาเสียง ถ้ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาระบบภาษีทั้งระบบที่จะทำให้มีฐานภาษีที่กว้างและเป็นธรรมมากขึ้น ควรต้องเร่งให้เร็ว อย่ารอช้า
  2. ภาคการเกษตร ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงและนับเป็นภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อประเทศฐ๘. ถ้ากลุ่มคนรากหญ้าที่เป็นสันหลังของเศรษฐกิจเหล่านี้อยู่ไม่ได้ เราทุกคนก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นควรมียมาตรการช่วยประกันราคาพืชผลให้เกษตรกร โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรหลักๆที่มีผลผลิตสูงสุด 5 อันดับ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย รัฐบาลต้องรับภาระตรงนี้ไปก่อนอย่างน้อย 2 ปี ยกตัวอย่างมันสำปะหลังที่ตลาดกำลังชะงัก ราคาหัวมันกิโลละ 7 บาท เพิ่มให้เท่ากับปีสองปีก่อนที่กิโลละเกิน 2 บาทเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตรแทนที่จะรอเงินช่วยเหลืออย่างเดียว
  3. การท่องเที่ยว หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูงสุดควรจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดควรต้องประสานกันให้ดี ทันที่ทีทางสาธารณสุขส่งสัญญาณว่าสามารถผ่อนคลายได้ อย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือต้องเพิ่มการหักลดหย่อนภาษีสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ และขยายเวลาให้สามารถลดหย่อนต่อเนื่องไป3 ปี ไม่ใช่แค่เป็นช่วงสั้นๆ ตามเทศกาลเท่านั้น ทำแบบนี้ภาคธุรกิจก็จะสามารถวางแผนการปรับตัวได้อย่างมั่นใจตามโรดแม็ปที่รัฐบาลบอกเอาไว้
  4. จากบทบาทในการจัดการ COVID ในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขไทยค่อนข้างมีประสิทธิภาพที่ดี และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ดังนั้นรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจและดึงนักท่องเที่ยวกลับมา อย่างตลาดนักท่องเที่ยวสำคัญ จีน หรือ อินเดีย เราต้องเร่งพิจารณามาตรการยกเว้นการขอvisa เข้าประเทศไทยเพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้กลับมา อย่างไรเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจการจ้างงานที่จะเกิดขึ้น และ multiplier effect ที่จะตามมาต้องมากกว่าประเด็นรายได้จากค่า visa fee ที่จะเสียไปแน่นอน ต้องมองให้ขาดและก้าวข้ามให้ได้

นำเสนอมาถึงตรงนี้จะไม่พูดถึงอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่ได้ ซึ่งผมต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้ต้องการสร้างประเด็นเพื่อประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจนี้แต่อย่างใด แต่ไม่มีใครปฏิเสธว่าอสังหาฯ เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจแบบทวีคูณ (multiplier effect) ได้สูงมากอุตสาหกรรมหนึ่ง เนื่องจากเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการจัดซื้อและจัดจ้างในหลายภาคตามมาไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า รวมถึงอุตสาหกรรมบริการ ฯลฯ ดังนั้นมาตรการภาษีและดอกเบี้ยต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขาย อสังหาฯ รัฐบาลต้องมองให้ทะลุ ต้องให้แน่ใจว่าประโยชน์ของมาตรการเหล่านั้นได้ประโยชน์จริงกับผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นการซื้อ ซึ่งผมมีข้อเสนอเพิ่มเติมต่อจากด้านบนดังนี้

  1. การพิจารณาลดย่อนภาษีให้กับคนซื้อบ้านหลังแรกเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันให้ ที่ 2 แสนบาทในปีที่โอนกรรมสิทธิ์ปีเดียว ให้เพิ่มไปได้สูงสุด 1 – 3 ล้านบาทเป็นไปได้หรือไม่ เพราะจำนวนเงินสุทธิที่เข้ากระเป๋าของผู้บริโภคแท้ที่จริงแล้วขึ้นกับอัตราภาษีเงินได้ของเขาในปีนั้น ลดหย่อนรายจ่ายซื้อที่อยู่อาศัยสองแสนบาท จำนวนเงินที่เข้ากระเป๋าผู้บริโภคจริงๆ จะน้อยมาก เทียบเท่ากับสองแสนบาทคูณด้วยอัตราภาษี ยกตัวอย่างเช่น คนที่ซื้อบ้านเสียภาษีเงินได้อยู่ในอัตรา 10% จำนวนเงินที่เขาจะได้รับประโยชน์คือ 20,000.-บาท (200,000 x 10%) ซึ่งน้อยมากไม่ได้เป็นปัจจัยที่จะจูงใจให้เกิดการซื้อได้
  2. เพิ่มการลดหย่อนเงินประกันสินเชื่อบ้าน เพราะการประกันสินเชื่อบ้าน หรือ ชื่อเต็มๆ ว่า ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (Mortgage Reducing Term Assurance (MRTA)) เป็นการทำประกันชีวิตประเภทหนึ่งที่มีจุดประสงค์อยู่ที่การประกันความเสี่ยงให้กับผู้กู้ โดยให้คุ้มครองสินเชื่อของผู้กู้ซึ่งในกรณีนี้ คือ สินเชื่อบ้าน ทำให้แม้ว่าจะเกิดเหตุต่อชีวิตผู้กู้ก็ไม่กระทบต่อการผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน เพราะ บริษัทรับประกันจะทำหน้าที่ผ่อนชำระหนี้แทนผู้กู้เอง โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาคุ้มครองและวงเงินประกันที่ผู้กู้เลือกทำประกันเอาไว้ ซึ่งจะช่วยให้การพิจารณาปล่อยสินเชื่อง่ายขึ้น ลดปัญหาเรื่องซื้อ โอนไม่ได้เพราะกู้ไม่ผ่านลง ช่วยผู้ซื้อให้มั่นใจได้ว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่สูญเสียบ้านซึ่งเป็นหลักประกัน และช่วยผู้ให้กู้ให้ได้รับเงินคืนหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รัฐน่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยสนับสนุนในส่วนนี้แต่ถ้าหากเป็นการลดหย่อนดอกเบี้ย ลดค่าธรรมเนียมการโอน หรือค่าธรรมเนียมการจดจำนอง เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นเพราะผู้ประกอบการได้เตรียมเอามาจัดเข้าไปเป็นโปรโมชั่นให้ลูกค้าอยู่แล้ว กลายเป็นว่า รัฐไปช่วยผู้ประกอบการให้ประหยัดงบส่งเสริมการขาย ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ
  3. ยกเลิกมาตรการLTV เพราะการผ่อนคลายจะไม่พอ สถานการณ์ตลาดตอนนี้ไม่มีใครเก็งกำไรแล้วและคงไม่ใช่สภาวะที่อสังหาริมทรัพย์จะทำให้ฟองสบู่แตกได้อย่างที่กังวล ผมต้องเรียนว่าผลกระทบของการที่จะสะกัดการเก็งกำไรหรืออุปสงค์เทียมเสียหายลามมาถึงกลุ่มความต้องการซื้ออยู่เอง โดยเฉพาะคนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ตามความจำเป็นของสภาวะที่เปลี่ยนไป และที่สำคัญส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้างซึ่งเริ่มที่จะมีสัญญาณที่ไม่ดีตั้งก่อนที่จะเกิดวิกฤตินี้ด้วยซ้ำไป
  4. มาตรการทั้งหมดที่พูดมานั้นต้องอาศัยมาตรการการเงินการคลังที่ผ่อนคลายแบบไม่เคยมีมาก่อนแม้ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยมาต่อเนื่องจนบอกว่าเป็นhistorical low แต่สุดท้ายจะยังไม่พอสำหรับสถานการณ์ที่ไม่ปกติขนาดนี้ เงินฝากของเศรษฐีที่ถูกเก็บอยู่ในธนาคารต้องนำกลับออกมาเพื่อหมุนเวียนในระบบให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และเช่นกัน multiplier effect ที่จะตามมา ต้องคิดว่าเป็นการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อวิกฤติจบไป ดังนั้น ผมหวังว่าจะได้เห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปอีกในการประชุม กนง. ครั้งต่อไปเพื่อเป็นการช่วยธุรกิจทุกภาคส่วน และครัวเรือนที่เป็นหนี้อยู่ด้วย
  5. โจทย์ที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งตอนนี้คือทำอย่างไรให้มีการเลิกจ้างงานน้อยที่สุด ตอนนี้การถูกเลิกจ้างงานน่าจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับทุกคน เพราะตลาดแรงงานไทยมีการจ้างงานนอกระบบและในกลุ่ม SMEs สูงมากซึ่งกลุ่มนี้มีความเปราะบางต่อการถูกเลิกจ้าง อย่าลืมว่าเรายังไม่ได้พูดถึงกลุ่มนักศึกษาจบใหม่จำนวนมากกว่า สามสี่แสนคน พวกเค้าจะหางานทำที่ไหนในสภาวะแบบนี้ ดังนั้นท่านนายกฯ ต้องเรียกเจ้าของธุรกิจและเจ้าของกิจการอันดับต้นๆ ของประเทศเพื่อมาชี้แจงถึงความจำเป็นในการคงการจ้างงานและห้ามเลิกจ้างโดยเด็ดขาด ถือเป็นหน้าที่ของภาคธุรกิจที่จะต้องช่วยทำหน้าที่ประคองตลาดแรงงานไปด้วยกันทุกคน นอกจากนี้ รัฐบาลสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นและรับมือกับปัญหาว่างงานที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยการสั่งหน่วยงานราชการจ้างคนเพิ่มให้มากที่สุดก็เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นประจำหรือชั่วคราว เช่นหน่วยงานสาธารณสุขหรือตำรวจ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นมากขึ้นในยุควิกฤตินี้ (การรักษาพยาบาลและการดูแลสวัสดิภาพประชาชน) ซึ่งถ้าเราแก้ปัญหาการเลิกจ้างไม่ได้จะเป็นการซ้ำเติมสภาวะเศรษฐกิจและสังคมให้แย่ไปกว่านี้อีก

ถึงเวลาแล้วที่เราจะให้ความสําคัญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลดความเหลื่อมล้ำ มากกว่า เสถียรภาพทางการเงิน ผมจึงขอเสนอให้ทางหน่วยงานภาครัฐ “do whatever it takes” หรือ “จัดเต็มให้เร็วและแรง” เพื่อสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจแบบทวีคูณ (multiplier effect) ผ่านการกระตุ้นปัจจัยทางอุปสงค์เพื่อให้เกิดกำลังซื้อของประชาชนซึ่งจะนำไปสู่กิจกรรมต่อเนื่องทางเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างเช่นการจ้างงานหรือการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ลูกจ้างเกิดรายได้มากขึ้น เป็นวงจรไปเรื่อยๆ ซึ่งผมมองว่าสามารถทำได้หลายภาคส่วนดังที่กล่าวไปข้างต้น

  1. มีอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะเป็นแนวคิดใหม่ๆ อาจจะขัดต่อความเข้าใจเดิมๆ อยู่ แต่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความสามารถในการรับมือกับปัญหา และคว้าเอาโอกาสที่ผ่านเข้ามาให้ทันท่วงทีมีความสำคัญ และเป็นปัจจัยในการอยู่รอดของธุรกิจน่าจะต้องทำ อะไรที่มีกระบวนการและขั้นตอนมาก ใช้เวลานานจนในบางครั้งอาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญๆ หรือ เลวร้ายไปกว่านั้น คือ ไปไม่รอดไปเลย อย่างเรื่องกระบวนการเพิ่มทุนออกหุ้นใหม่ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งผมรู้สึกว่า เป็นอุปสรรคต่อการจัดการเพราะขั้นตอนที่ค่อนข้างมาก และใช้เวลา โดยเฉลี่ยประมาณ 45 ถึง 60 วัน ซึ่งอาจทำให้กิจการพลาดโอกาสดีๆ ไปตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้มีนักลงทุนอยากจะเอาเงินมาลงทุนในบริษัททำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้น  ฝ่ายจัดการพิจารณาแล้วราคาและสัดส่วนในการลงทุนได้เหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ ณ เวลานั้นแล้ว แต่กว่าที่นักลงทุนรายดังกล่าวจะลงทุนในบริษัทได้ ต้องใช้เวลาอีก 45 ถึง 60 วัน เพื่อจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติเรื่องนี้ซึ่งช่วงเวลา 45 ถึง 60 วันดังกล่าว สำหรับสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่อะไรก็เกิดขึ้นได้  ในความเห็นของผม ฝ่ายจัดการควรมีเครื่องมือหรืออำนาจที่จะตอบรับกับโอกาสดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที  ตัวอย่างเช่น กำหนดไปเลยว่า ภายในกรอบราคาหุ้นนี้ และสัดส่วนการถือหุ้นที่จะออกเท่านี้ ให้เป็นอำนาจตามกฏหมายของคณะกรรมการบริษัทที่สามารถดำเนินการไปได้เองโดยไม่ต้องจัดประชุมผู้ถือหุ้อเพื่อขออนุมัติ เพียงรายงานให้ผู้ถือหุ้นทราบก็เพียงพอ เพื่อที่ฝ่ายจัดการจะได้มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะจัดการในเรื่องโครงสร้างทุนของกิจการได้ในกรอบประมาณหนึ่ง

อย่างที่ผมบอกในตอนต้นเรื่องนี้ฟังดูแล้วอาจจะขัดกับความรู้สึก หรือ ตรรกะที่เราเคยเรียนมา แต่ผมเชื่อว่า ในเรื่องนี้มีจุดที่สมดุลย์ที่สามารถทำให้เกิดประโยชน์ได้กับทั้งตัวกิจการ และผู้ถือหุ้นของบริษัท และเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อความคล่องตัวในการบริหารเงินทุนกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

บัญญัติ 10 ประการที่ผมชี้แจงไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่น่าจะช่วยเสริมแนวทางของรัฐบาลปัจจุบันที่ใช้กระสุนที่มีให้ หนัก แรง และเร็ว ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง ซึ่งถ้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจกลับมาเร็วเท่าใหร่ก็จะทำให้ภาครัฐกลับมามีรายได้แต่ที่สำคัญกว่านั้นจะช่วยมีการจ้างงาน และประชาชนมีรายได้ครับ

 

ข้อมูลจาก

 SANSIRI BLOG 

 twitter : @Thavisin

ประกาศยอดนิยม ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร

โครงการยอดนิยม ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร